
เกิดอะไรขึ้น
นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ได้ประกาศนโยบายปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของประเทศไทยให้เร็วขึ้น 15 ปี เป็นภายในปี 2593 ซึ่งกำหนดให้มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 370 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
ในการประชุม COP30 ปีนี้ คาดว่าประเทศต่าง ๆ จะประกาศแผนการลดการปล่อยคาร์บอนในช่วง 5 ปีถัดไปจนถึงปี 2578 หากนายกรัฐมนตรี ยืนยันเป้าหมายใหม่ดังกล่าวในการประชุม รูปแบบเศรษฐกิจของประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่ายังคงมีประเด็นสำคัญหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไข
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเชื่อว่า ความสำเร็จของนโยบายดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ กฎระเบียบ การบริหารจัดการสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต และช่องว่างด้านเงินทุน
กฎระเบียบจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการเปลี่ยนแปลงของภาคเอกชน
กฎหมายสำคัญ 3 ฉบับที่จะเป็นรากฐานแห่งความสำเร็จของเป้าหมาย Net Zero ได้แก่ พระราชบัญญัติอากาศสะอาด พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับปรับปรุง
พ.ร.บ. อากาศสะอาด ถือเป็นก้าวสำคัญในการนำไปสู่การลดมลพิษโดยรวม และได้มีการนำเสนอเข้า ครม. แล้ว กฎหมายฉบับนี้กำหนดบทลงโทษสำหรับการปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน ทั้งในรูปแบบของโทษปรับจนถึงการดำเนินคดีอาญา ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตส่วนใหญ่ต้องลงทุนในระบบตรวจวัดและควบคุมมลพิษ
พ.ร.บ. ลดโลกร้อน เป็นกฎหมายสำคัญที่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมกำลังจัดทำเพื่อนำเสนอ ครม. โดยกฎหมายฉบับนี้จะกำหนดกลไกทางกฎหมาย รวมถึงบทลงโทษ กองทุนเพื่อความยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือการสร้างตลาดคาร์บอนภาคบังคับ ซึ่งจะกำหนดให้บริษัทต่าง ๆ ต้องติดตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และเพิ่มการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ในปี 2567 ประเทศไทยได้จัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ โดยมีเป้าหมายให้การผลิตพลังงานหมุนเวียนมีสัดส่วน 51% ภายในปี 2580 อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะมีการปรับปรุงแผนดังกล่าวอีกครั้ง โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
1. การทยอยยุติการใช้ถ่านหินให้เร็วกว่ากำหนดเดิม (ปัจจุบันปี 2593) และไม่มีสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่
2. การเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงาน เนื่องจากต้นทุนที่ลดลงเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ (ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยตลอดอายุโครงการ ของโซลาร์ฟาร์ม ต่ำกว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ถึง 21.9–55.4%)
3. การยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Combined-Cycle Gas) ให้สามารถใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงแทน
4. การเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน (Carbon Capture Technologies)
สินทรัพย์สูญค่าในอนาคต (Stranded Assets) จะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการสู่เป้าหมาย Net Zero
ภาคพลังงานและภาคขนส่งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลักของประเทศไทย คิดเป็น 69% ของปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าทั้งหมด
การแก้ไขปัญหานี้จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของนโยบายใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน อย่างไรก็ตาม ปริมาณสินทรัพย์ที่อาจสูญค่าในอนาคตจำนวนมากจะเป็นปัจจัยฉุดรั้งที่สำคัญต่อการบรรลุเป้าหมาย Net Zero
เป้าหมาย Net Zero ใหม่กำหนดให้ยุติการใช้ระบบพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลภายในปี 2593 ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อทั้งสองภาคส่วน เนื่องจากยังมีสัดส่วนสินทรัพย์จำนวนมากที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับปัจจุบัน คาดว่าในปี 2580 ร้อยละ 48 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดจะมาจากโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ขณะที่ร้อยละ 97 ของรถบรรทุกในประเทศไทยยังใช้เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งภาคโลจิสติกส์ยังคงพึ่งพาอยู่
โรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมดมีกำหนดจะถูกปลดระวางภายในปี 2593 แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าอาจถูกเลื่อนให้เร็วขึ้น ขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหลายแห่งทั้งที่กำลังดำเนินการอยู่และที่อยู่ระหว่างการวางแผน คาดว่าจะยังคงเดินเครื่องต่อไปหลังปี 2593 แต่เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero โรงไฟฟ้าเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นระบบพลังงานไฮโดรเจน มิฉะนั้นอาจเสี่ยงที่จะกลายเป็นสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต
ในภาคขนส่ง รถบรรทุกดีเซลรุ่นใหม่มีอายุการใช้งานสูงถึง 30 ปี ซึ่งยาวนานกว่ากำหนดเวลาเปลี่ยนผ่านในปี 2593 รัฐบาลจึงจำเป็นต้องออกมาตรการเพื่อทยอยยุติการใช้งานหรือจำกัดการซื้อ เนื่องจากมูลค่าที่เหลือของรถบรรทุกเครื่องยนต์ดีเซลจะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อใกล้ถึงกำหนดดังกล่าวยังคงมีช่องว่างด้านงบประมาณอยู่มาก
คาดว่าประเทศไทยจะต้องใช้งบประมาณมากกว่า 1.28 ล้านล้านบาทต่อปี ในการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ภายในปี 2593 ในขณะที่ปัจจุบันใช้งบประมาณเพียงประมาณ 0.24 ล้านล้านบาทต่อปี ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเพิ่มการลงทุนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน แต่ในสัดส่วนและกลุ่มอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน
ประเทศไทยจำเป็นต้องอาศัยงบประมาณจำนวนมากจากภาครัฐเพื่อขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าเพิ่มเติม (ระบบกริด สถานีชาร์จ และระบบส่งไฟฟ้า) ขณะที่ภาคเอกชนจะต้องเพิ่มการใช้ไฟฟ้าในภาคการขนส่งและภาคการผลิต (เช่น การใช้เตาในโรงงานเหล็กหรือปูนซีเมนต์)
ข่าวเด่น