
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “Monetary Policy Forum 3/2568” ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง โดยคาดจะเติบโตที่ระดับ 1.6% จากปีนี้ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ในระดับ 2.2% โดยครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจขยายตัว 3% แต่ช่วงครึ่งหลังของปี ขยายตัวต่ำลงจากผลของมาตรการภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐ (Reciprocal Tariffs) ที่ส่งผลกระทบภาคธุรกิจ
ส่วนเรื่องภาวะเงินเฟ้อ ธปท.จับตาความเสี่ยง “ภาวะเงินฝืด” จากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นการลดลงของราคาสินค้าในวงกว้าง เช่น ราคารถยนต์ และรถยนต์มือสอง ที่มีการปรับลดลงจากการแข่งขัน แต่ไม่ได้ปรับลดลงต่อเนื่อง รวมถึงราคาบ้าน เริ่มเห็นการลดลง แต่ยังจำกัดอยู่ในกลุ่มแนวสูง ส่วนแนวราบยังไม่เห็นการลดลงของราคา
สำหรับเรื่องนโยบายการเงินมองไปข้างหน้ายังอยู่ในระดับผ่อนคลาย และพร้อมปรับให้สอดคล้องกับ Outlook ที่เปลี่ยนไป รวมถึงดูประสิทธิผลของศักยภาพการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) ที่เหลือน้อยลงหลังการปรับลดดอกเบี้ยไป 4 ครั้งตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567
ด้าน น.ส.ปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวเสริมว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะช่วยเพิ่มบรรยากาศการบริโภค การจับจ่ายใช้สอย และการท่องเที่ยวในประเทศ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” และ “เที่ยวดีมีคืน” ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่ม GDP ในช่วงไตรมาส 4 ได้ 0.2-0.3% และทำให้ GDP ไตรมาส 4 ขยายตัวได้ 1.3%
“มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐดังกล่าว จะเข้ามาช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชน และทำให้ Sentiment ในตลาดเริ่มคึกคักขึ้น ทั้งฝั่งพ่อค้าแม่ค้า และประชาชน ช่วยสร้างความหวังให้เศรษฐกิจไทยได้” น.ส.ปราณีกล่าว
สำหรับภาคการท่องเที่ยว น.ส.ปราณี กล่าวว่าแนวโน้มน่าจะทยอยพื้นตัว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนเริ่มทยอยกลับมา ขณะที่นักท่องเที่ยวระยะไกลยังขยายตัวได้ โดยคาดว่าทั้งปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย จะอยู่ที่ 33 ล้านคน คิดเป็นรายรับ 1.4 ล้านล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีน ราว 4.4 ล้านคน ส่วนปี 2569 คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย เพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านคน คิดเป็นรายรับ 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นนักท่องเที่ยวจีน 6 ล้านคน ซึ่งผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวเองก็คาดการณ์สอดคล้องกันว่านักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4/68 โดยมีสัญญาณการฟื้นตัวจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก ผลจากการแก้ปัญหาด้านภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า ซึ่งจะส่งผลให้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวลดลง และกดดันต่อความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการประกอบธุรกิจมากขึ้น
น.ส.ปราณี กล่าวต่อถึงเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ว่า มีการเติบโตในระดับ 3% ซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งการผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นก่อนที่สหรัฐฯ จะมีมาตการทางภาษีที่ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้ากับหลายประเทศ
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง น.ส.ปราณี ระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงจากภาคการผลิตและภาคการส่งออก ที่เริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวเริ่มทยอยฟื้นตัวได้ ทำให้ไตรมาส 3/68 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ในระดับ 1.5% และ 1.3% ในไตรมาส 4/68
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ความกังวลว่าเศรษฐกิจไทยจะมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเงินฝืดนั้น ยังอยู่ในระดับต่ำ จาก 3 ปัจจัยสำคัญ
1. การที่อัตราเฟ้อต่ำในปัจจุบัน เป็นผลจากราคาสินค้าที่ลดลงเพียงบางหมวด เช่น กลุ่มพลังงาน และอาหารสด (ผัก-ผลไม้) ในขณะนี้ราคาสินค้ากลุ่มอื่น ไม่ได้ปรับลดลงต่อเนื่องและในวงกว้าง
2. เครื่องชี้แรงกดดันด้านราคา ที่สะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้อยังทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับอดีต
3. เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3%
นายสุรัช กล่าวต่อไปว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในปี 2658 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.0% ส่วนปี 2569 จะอยู่ที่ 0.5% และปี 2570 จะอยู่ที่ 1% โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงไตรมาส 2/69 และกลับเข้าสู่ขอบล่างของเป้าหมายนโยบายการเงินที่ระดับ 1-3% ได้ในช่วงปี 2570
นายสุรัชกล่าวอีกว่า สำหรับนโยบายการเงินอยู่ในระดับผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจ โดย ธปท.ยังคงให้ความสำคัญกับประสิทธิผลของนโยบายการเงิน และพร้อมที่จะปรับตาม Outlook ที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาจะต้องใช้มาตรการเฉพาะจุดอื่น ๆ เข้ามาช่วยเสริมนโยบายการเงินด้วย เพื่อช่วยลดภาระและช่วยสภาพคล่องให้ภาคธุรกิจและเอสเอ็มอีได้ตรงจุดมากกว่า
ข่าวเด่น