"เดลินิวส์" ได้จัดงานเสวนา "เดลินิวส์ ทอล์ก 2025" ในหัวข้อ "ปีนี้รอดมาได้อย่างไร…ปีหน้าเติบโตอย่างไรให้มั่นคง?" โดยได้รับเกียรติจาก นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง ร่วมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อเศรษฐกิจไทยปี 2569 : อยู่ให้รอดได้อย่างไร โดยมีนายปารเมศ เหตระกูล นางสิริวรรณ พันธุ์ปรีชากิจ กรรมการบริหาร นายนต รุจิรวงศ์ เลขานุการกรรมการบริหารและผู้อำนวยการฝ่ายผลิต นายนนท์ รุจิรวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและจัดจำหน่ายและน.ส.นลิน รุจิรวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ (EVP) ฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและการตลาด เดลินิวส์ ร่วมให้การต้อนรับ
 
นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “เศรษฐกิจไทยปี 2569 : อยู่ให้รอดได้อย่างไร?” โดยระบุว่า รัฐบาลมีเวลาเหลืออีก 3 เดือนและจะยุบสภาในเดือน ม.ค.69 ทำให้ตอนนี้รัฐบาลต้องเร่งเครื่องให้สุด เพื่อส่งมอบให้ประชาชน ให้กับประเทศและเศรษฐกิจไทย
กระทรวงการคลัง มีนโยบาย 5 เสาหลัก 1 ฐานราก ต้องการกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว โดยต้องกระตุ้นด้วยวิธีใหม่ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโต จากครึ่งปีแรกเติบโต 3% มาจากการเร่งส่งออกเพื่อหนีภาษีทรัมป์ และในครึ่งปีหลัง คาดว่าไตรมาส 3 จะอยู่ที่ 1.7% ซึ่งในเดือน พ.ย. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเปิดเผยอย่างเป็นทางการ และในไตรมาส 4 คาดว่าจีดีพีจะอยู่ที่ 0.3%
 
"รัฐบาลเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะติดหล่ม ถ้าเป็นรถยนต์ในไตรมาส 4 ถ้าไม่ทำอะไรมีโอกาสติดหล่มสูง ช่วงที่เหลือของรัฐบาลต้องแก้ปัญหาติดหล่ม ด้วยนำหินมาวาง ต้องหาวิธีเอารถขึ้นมาให้ได้"
สำหรับนโยบายกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว ทั้งคนละครึ่งพลัสที่ได้เริ่มใช้แล้ว และมีโครงการเที่ยวดีมีคืน ลดหย่อนภาษีได้ตามการใช้จ่ายจริงไม่เกิน 20,000 บาท ทั้งเมืองหลักเมืองรอง สำหรับเดินทางไปท่องเที่ยวและรับประทานอาหาร โดยต้องขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax) หรือรูปแบบกระดาษ กรณีนี้จะได้ 10,000 บาทแรก
"ทั้งสองมาตรการต้องการกระตุ้นสั้น หวังได้ผลยาว ต้องการคนให้เข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น เมื่อรายได้ไม่พอรายจ่าย และเป็นที่มาของการขาดดุลการคลังในทุกปี จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจไปด้วย จึงมีแรงจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบภาษี อย่างคนละครึ่งพลัส ถ้าคนยื่นแบบฟอร์มภาษีจะได้ 2,400 บาท และไม่ยื่นภาษีได้ 2,000 บาท เช่นเดียวกับมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวลดหย่อนภาษีด้วย"
นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าจะนำมาตรการแก้หนี้ประชาชนต่ำกว่า 1 แสนบาท เข้าสู่การพิจารณาคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ผ่านการให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือเอเอ็มซี เข้ามาช่วยเหลือดูแลกลุ่มนี้ เพื่อปลดล็อกบริโภคในประเทศ และต้องแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน จากหนี้ครัวเรือนอยู่เกือบ 90%
ขณะเดียวกันในอีก 2 สัปดาห์จะนำรายละเอียดเข้าสู่ครม.เศรษฐกิจ ในเรื่องของการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ตามมาตรการพี่ดูแลน้อง ให้แรงจูใจให้บริษัทขนาดใหญ่ช่วยเอสเอ็มอีขนาดเล็กและให้จ่ายเงินได้เร็วขึ้น ขณะที่ยังมีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือซอฟต์โลน และการค้ำประกันสินเชื่อ ผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่จะช่วยเรื่องการเข้าถึงสภาพคล่อง
 
นายเบญจรงค์ กล่าวว่า รัฐบาลจะเน้นเรื่องการเงินการออม โดยจะให้ประชาชนที่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลและไม่ถูกรางวัล ได้มีโอกาสออมเงินได้ด้วย จะสร้างวินัยการเงินเริ่มเล็กๆและเพิ่มพูนเรื่อยๆ รวมทั้งอยากให้คนไทย และผู้ประกอบการไทยมีการพัฒนาทักษะในเรื่องดิจิทัลเทคโนโลยี การค้าขาย รวมทั้งต้องลดการขาดดุลทางการคลัง เพราะจะเป็นความเสี่ยงเรื่องเครดิตเรตติ้งของประเทศ และให้เศรษฐกิจไทยเติบโต จากคาดการณ์กระทรวงการคลังปีนี้จะเติบโต 2.4% และปี 69 จะเติบโต 2% มาจากมาตรการต่างๆของภาครัฐ
"ทิ้งไม่ได้คือต้องทำเรื่องระยะยาวให้ประเทศ สองเรื่อง คือ การรีสกิล เพราะไทยใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี ดิจิทัลเพย์เมนต์ ติ๊กต็อก เฟซบุ๊ค อันดับต้นๆของประเทศ แต่ใช้เพื่อการค้าขายไม่เก่ง เป็นเหตุผล ที่ทำคนละครึ่งพลัส และในวันที่ 3 พ.ย. จะให้กับฟู้ดเดลิเวอรี่แกร็บ ไลน์แมน โรบินฮู้ด ช้อปปี้ เปิดให้ใช้ได้ และรัฐบาลต้องการฝึกร้านค้าให้พัฒนามากขึ้นในการใช้ออนไลน์"
นายเบญจรงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เชื่อว่าไทยได้ฝ่าวิกฤติมาเยอะ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่ครั้งสุดท้าย นอกจากภาคเอกชนและประชาชนปรับตัวเยอะ จากปัญหาต่างๆ โดยช่วงโค้งสุดท้ายรัฐบาลได้วางเมล็ดพันธุ์ การอยู่รอดไม่ใช่แค่เอกชนปรับตัว แต่มีผลมาจากเมล็ดพันธุ์ส่งถึงในปีหน้าด้วย”
 
 
ข่าวเด่น