.jpg)
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) คาดการณ์ว่า ค่าเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงสัปดาห์นี้ ระหว่างวันที่ 3-9 พฤศจิกายน 2568 จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบประมาณ 32.20–32.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยระดับเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 32.33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยมีประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจและการเงินที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินและทิศทางตลาดการเงินโลก ดังนี้
ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) มีมติด้วยคะแนนเสียง 10 ต่อ 2 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% สู่ระดับ 3.75–4.00% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยนายสตีเฟน อิรา มิแรน ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ขณะที่นายเจฟฟรีย์ ชมิด ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารกลางสหรัฐฯ มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ตามเดิม นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังประกาศยุติการดำเนินมาตรการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening) โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
ภายหลังการประชุม นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์ในเชิงเข้มงวด (Hawkish) โดยระบุว่ายังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมรอบถัดไป ซึ่งสะท้อนถึงท่าทีที่ระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป
ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การประชุมระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และนายสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีผลสรุปในเชิงบวก โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะผ่อนคลายมาตรการทางการค้าบางส่วน รวมถึงการลดอัตราภาษีสินค้าประเภทเฟนทานิล ที่จัดเก็บเพิ่มเติมจากจีน จากเดิม 20% เหลือ 10% ขณะเดียวกันทางการจีนได้ประกาศเลื่อนการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากออกไป
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว พบว่ามีความผันผวน โดยในช่วงต้นสัปดาห์เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นจากปัจจัยบวกที่เกิดจากความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสูงสุดที่ระดับ 32.23 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายสัปดาห์ ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงอีกครั้ง ซึ่งเป็นผลจากการสื่อสารในเชิงเข้มงวดของนายพาวเวลล์ และสมาชิกคณะกรรมการหลายท่านที่มีความเห็นสอดคล้องกันเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินครั้ง ซึ่งเป็นผลจากการสื่อสารในเชิงเข้มงวดของประธาน Fed และกรรมการหลายท่านที่มีความเห็นสอดคล้องกันเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน
ข่าวเด่น