
นายพีรพันธ์ คอทอง รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2568 และแนวโน้มปี 2569 ภายใต้หัวข้อ "Agrivolution : พลิกเกมเกษตรทันอนาคต" ณ ห้องอัศวิน แกรนด์ บอลรูม โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชัน

ในการนี้ นายพีรพันธ์ ได้นำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจและความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรไทย โดยระบุว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยการเติบโตยังคงมีความเปราะบางจากความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวร้อยละ 2.0 จากแรงหนุนของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ในส่วนของภาคเกษตรไทยยังต้องเผชิญกับ “5 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ” ได้แก่ 1) ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงานและต้นทุนการผลิต 2) มาตรการกีดกันทางการค้าและมาตรฐานสินค้ารูปแบบใหม่ 3) สภาพอากาศแปรปรวนและภัยพิบัติทางธรรมชาติ 4) กระแสการเติบโตสีเขียว (Green Growth) และ 5) โครงสร้างประชากรสูงวัยที่ส่งผลต่อปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ภาคเกษตรต้องเร่งปรับตัว

เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว กระทรวงเกษตรฯ จึงได้วางทิศทางการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรโดยยึดหลัก “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ผ่านกลไก “3 สร้าง” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร ประกอบด้วย 1) สร้างรายได้ โดยบริหารจัดการผลผลิตให้สมดุลกับความต้องการตลาดและปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง 2) สร้างตลาด ขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่กับการเชื่อมโยงการท่องเที่ยว และ 3) สร้างโอกาส ด้วยการยกระดับทักษะเกษตรกร (Reskill/Upskill) และปรับปรุงกฎหมายให้เอื้อต่อการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและผลักดันให้ภาคเกษตรไทยก้าวข้ามวิกฤตสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับการแถลงตัวเลข ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2568 พบว่า ขยายตัวร้อยละ 3.3 เมื่อเทียบกับปี 2567 โดย สาขาพืช สาขาปศุสัตว์ สาขาบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้ ขยายตัว ขณะที่ สาขาประมง ยังหดตัว
ปัจจัยบวก ที่สนับสนุนการเติบโต ได้แก่ ปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2568 ส่งผลให้มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำตามธรรมชาติเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ประกอบกับสภาพอากาศโดยทั่วไปเอื้ออำนวย ไม่ประสบภัยแล้งรุนแรง ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่เคยปล่อยว่าง นอกจากนี้การบริหารจัดการแปลงและฟาร์มที่ดีขึ้น ช่วยให้ควบคุมโรคระบาดได้ดี รวมถึงนโยบายภาครัฐในการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตร การบริหารจัดการน้ำ และการส่งเสริมเทคโนโลยีช่วยยกระดับการผลิตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวจากการบริโภคและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมี ปัจจัยลบ จากพายุและภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลายช่วง โดยเฉพาะอิทธิพลของพายุตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - พฤศจิกายน 2568 อาทิ พายุ “วิภา” และ “คาจิกิ” ส่งผลกระทบให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคกลาง ทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรบางส่วนเสียหาย รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวด นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และค่าเงินบาทที่มีทิศทางแข็งค่า ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน สำหรับรายละเอียดในรายสาขา มีดังนี้

สาขาพืช ขยายตัวร้อยละ 4.6 พืชสำคัญที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปรัง เพิ่มขึ้นจากน้ำต้นทุนที่เพียงพอ เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกทั้งในและนอกเขตชลประทาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หลายพื้นที่เกษตรกรสามารถปลูกได้ 2 รอบ และมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่จากมันสำปะหลังมาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น อ้อยโรงงาน เพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศดีและนโยบายส่งเสริมเครื่องจักรกล สับปะรดปัตตาเวีย เพิ่มขึ้นจากปริมาณฝนและอุณหภูมิที่เหมาะสม ยางพารา เพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและราคาปีที่ผ่านมาจูงใจ ปาล์มน้ำมัน เพิ่มขึ้นจากพื้นที่ปลูกใหม่เริ่มให้ผลผลิต ลำไย ทุเรียน มังคุด และเงาะ ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศเหมาะสมและปริมาณน้ำเพียงพอ เอื้อต่อการออกดอกติดผล โดยเฉพาะทุเรียนที่มีการขยายพื้นที่ปลูกมาก ส่วนพืชที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ ข้าวนาปี ลดลงจากราคาที่ไม่จูงใจและปัญหาน้ำท่วมในบางพื้นที่ และ มันสำปะหลัง ลดลงจากปัญหาการขาดแคลนท่อนพันธุ์ เนื่องจากภัยแล้งในช่วงต้นปี 2567 และบางพื้นที่ยังพบโรคใบด่าง

สาขาปศุสัตว์ ขยายตัวร้อยละ 0.5 โดยสินค้าที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ไก่เนื้อ จากการขยายการผลิตรองรับความต้องการบริโภคทั้งในและต่างประเทศ สุกร จากปริมาณการเลี้ยงที่เพิ่มขึ้นและการจัดการฟาร์มที่ดี ไข่ไก่ เพิ่มขึ้นจากการชะลอการปลดระวางแม่ไก่ และ น้ำนมดิบ เพิ่มขึ้นจากการจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพ ส่วน โคเนื้อ ผลผลิตลดลง เนื่องจากต้นทุนสูง เกษตรกรบางส่วนเลิกเลี้ยง
สาขาประมง หดตัวร้อยละ 1.0 โดย กุ้งขาวแวนนาไม ลดลงจากสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้กุ้งเติบโตช้าและบางส่วนเกิดโรค สัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือ ลดลงจากอากาศแปรปรวน และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้ประกอบการออกเรือจับสัตว์น้ำลดลง และ ปลานิล/ปลาดุก ลดลงจากราคาอาหารสัตว์น้ำที่สูงและราคาขายไม่จูงใจ
สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัวร้อยละ 2.6 โดยการจ้างบริการเตรียมดินเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญหลายชนิดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวนาปรัง อ้อยโรงงาน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
สาขาป่าไม้ ขยายตัวร้อยละ 1.3 จาก ไม้ยูคาลิปตัส ถ่านไม้ และรังนก ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น ขณะที่ ไม้ยางพารา ลดลงตามเป้าหมายการตัดโค่น และ ครั่ง ลดลงจากสภาพอากาศแปรปรวน
นายพีรพันธ์ กล่าวทิ้งท้ายถึง แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.0 – 3.0 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณน้ำต้นทุนที่เพิ่มขึ้น นโยบายภาครัฐที่ต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวและความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจากประเด็นความมั่นคงทางอาหาร อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ (วาตภัย ภัยแล้ง อุทกภัย) เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว มาตรการกีดกันทางการค้า นโยบายภาษีของสหรัฐฯ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ภายในงานช่วงบ่ายมีการจัดเวทีเสวนาหัวข้อ จับเข่าคุย “พลิกเกมเกษตรทันอนาคต” เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์จากเกษตรกรรุ่นใหม่และผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมและโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการปรับตัว โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย 1) นายณัฐวุฒิ จันทร์เรือง เจ้าของสวนจันทร์เรือง 2) นายผดุงพล สุคนธมนตรีกุล เจ้าของกิจการแม่ปลูกลูกขาย 3) ดร.ปรเมษฐ์ ชุ่มยิ้ม ที่ปรึกษาอาวุโสและผู้จัดการ Platform FI Accelerator และ 4) นายนิทัศน์ ศรีอุราม ผู้แทนจากโครงการฝึกงานผู้นำเยาวชนเกษตรกรไทยในประเทศญี่ปุ่น (JAEC) ดำเนินรายการโดย นายธีรวัฒน์ พึ่งทอง ผู้ประกาศข่าว MCOT ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก
ข่าวเด่น