การค้า-อุตสาหกรรม
Scoop : EUDR แต้มต่ออุตสาหกรรมยางไทย แต่ต้องเร่งปรับตัว
ก่อนคู่แข่งตามทันสิ้นปี 69


 

"ไทย" จัดเป็นประเทศที่มีการผลิตยางพาราและส่งออกยางแปรรูปมากเป็นอันดับ 1 ของโลกมาอย่างยาวนาน อุตสาหกรรมยางจึงเหมือนกับเป็นอีกหนึ่งท่อน้ำเลี้ยงหลักของเศรษฐกิจไทยที่ขาดไม่ได้ เพราะยางพารา จัดเป็นวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญของสินค้าหลากหลายประเภททั่วโลก เช่น ในอุตสาหกรรมยานยนต์ อย่างยางล้อรถ ชิ้นส่วนยางในห้องเครื่อง ครอบคลุมไปจนถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และในกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยรวม ก็ยังต้องใช้ยางพาราเช่นกัน แต่ก็เพราะความต้องการยางพาราที่สูงแบบนี้นี่เอง ที่ทำให้ไทย เริ่มจะมีคู่แข่งผู้ผลิตยางพาราที่เข้ามากินส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นแล้วการมาของ EUDR จึงเป็นโอกาสอันดีที่พลิกให้ไทยกลับมามีแต้มต่อและสามารถรักษาผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลกได้
 
EU Deforestation Regulation (EUDR) เป็นกฎหมายที่ควบคุมไม่ให้มีการขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าหรือทำให้ป่าไม้เสื่อมโทรม โดยกำหนดให้สินค้าที่นำเข้าและส่งออกจากสหภาพยุโรปทั้ง 7 ชนิด ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ไม้ ถั่วเหลือง โกโก้ กาแฟ และปศุสัตว์ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้ (Derived products) ต้องปราศจากกระบวนการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งข้อกำหนดกฎเกณฑ์ดังกล่าวนี้ ก็เป็นที่มาจากกระแสรักษ์โลก ที่หันมาบริโภคสินค้าที่ผลิตจากธรรมชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยสหภาพยุโรป หรือ EU ในฐานะผู้นำด้านการจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงเป็นตัวตั้งตัวดีในการกำหนดระเบียบการค้าดังกล่าว
 
ซึ่งการมาของข้อกฎหมาย EUDR นั้น เป็นโอกาสที่จะทำให้ไทยพลิกกลับมามีแต้มต่อในอุตสาหกรรมยางได้ เพราะแม้ว่าในตอนนี้ไทยยังครองอันดับ 1 ในการผลิตยางพาราและส่งออกยางแปรรูปขั้นกลางของโลกก็ตามจนถึงปัจจุบัน อ้างอิงจากสมาคมผู้ผลิตยางธรรมชาติ ที่คาดการณ์ว่า ไทยเราจะส่งออกยางพาราไปยังตลาดโลกได้ในปี 2568 นี้ ประมาณ 4,245,000 ตัน ที่เทียบกับปี 2567 จะพบว่า ไทยมีสัดส่วนการส่งออกยางพาราสูงถึง 40% ของปริมาณการส่งออกยางพาราของทั้งโลก มากกว่าเวียดนาม มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย แต่ 10 ปีที่ผ่านมา ไทยเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งค่าจ้างแรงงานไทยที่สูงกว่าคู่แข่งที่หันมาส่งออกยางราว 2 เท่า รวมถึงตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ไทยที่เสียเปรียบคู่แข่ง ทำให้ต้นทุนแรงงานและการขนส่งของยางพาราไทยสูงกว่า ความสามารถในการแข่งขันของยางพาราแปรรูปจึงลดลงในเกือบทุกสินค้า สะท้อนจากส่วนแบ่งการส่งออกในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ เช่น ในตลาดส่งออกหลักของไทยอย่างประเทศจีน ก็เริ่มโดนเวียดนามเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดในสินค้ายางผสม และน้ำยางข้น ที่สามารถขายในราคาต่ำกว่าไทยราว 5-10%
 
โดย EUDR ที่ตั้งมาตรฐานสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่านั้น สำหรับยางพารา ไทยจัดเป็นผู้ผลิตที่มีความเสี่ยงด้านการทำลายป่าต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง อ้างอิงจากตัวชี้วัดของ EUDR ที่ระบุว่า ไทยมีสัดส่วนพื้นที่บุกรุกป่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.4 ล้านไร่ ขณะที่อินโดนีเซียและมาเลเซีย มีสัดส่วนถึง 6.0 ล้านไร่ และ 1.9 ล้านไร่ตามลำดับ ส่วนจำนวนผู้ที่มีใบรับรองตาม Forest Stewardship Council (FSC) ซึ่งเป็นมาตรฐานการรับรองว่ายางในผลิตภัณฑ์มาจากสวนยางที่ยั่งยืน ประเทศไทยมีจำนวนผู้ที่มีใบรับรอง FSC อยู่ที่ 26 ราย ขณะที่อินโดนีเซียและมาเลเซีย มีจำนวน 6 ราย และ 1 ราย ตามลำดับ
 
โดยทางกรมการค้าต่างประเทศ รายงานว่า ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าตามมาตรฐาน EUDR ไปตลาดโลก อยู่ที่ 10,998 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 และมีมูลค่าการส่งออกสินค้า EUDR ไปตลาด EU อยู่ที่ 694 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 6.31% ของสินค้า EUDR ที่ไทยส่งออกไปตลาดโลกทั้งหมด ขณะที่ในแต่ละปีนั้น ทาง EU มีการนำเข้ายางพาราจากประเทศกลุ่มเสี่ยงอยู่ที่ประมาณ 6.8 แสนตันต่อปี นับเป็นปริมาณที่สูงกว่าการนำเข้าจากไทย 2.3 เท่า เพราะฉะนั้น การบังคับใช้ EUDR มีโอกาสที่ผู้นำเข้ายางพาราใน EU จะหันมานำเข้ายางพาราจากไทยมากขึ้นไปกว่าเดิม เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงภาระต้นทุนของกฎหมายนี้ ส่วนประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตยางล้อรถยนต์ และเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ไปยังยุโรป ก็มีแนวโน้มเช่นกันที่จะหันมานำเข้ายางพาราจากไทยมากยิ่งขึ้น เพื่อลดภาระที่จะต้องทำตามกฎเกณฑ์ของ EUDR
 
อย่างไรก็ดี ล่าสุดนี้ ทาง EU อนุมัติเลื่อนบังคับใช้กฎหมาย EUDR ออกไป 1 ปี สำหรับธุรกิจทุกขนาด โดยกำหนดให้ธุรกิจขนาดใหญ่และกลาง เริ่มบังคับใช้ในวันที่ 30 ธ.ค. 2569 และธุรกิจขนาดเล็กในวันที่ 30 มิ.ย. 2570 ทำให้ประเทศคู่แข่งของเรา อย่าง  อินโดนีเซีย มาเลเซีย มีเวลาเตรียมตัว ซึ่งมีโอกาสไล่ตามไทยได้มากขึ้น ดังนั้น ทั้งภาครัฐและเอกชนไทย ควรจะต้องมีการเร่งปรับตัว โดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมยางไทยให้สามารถผลิตยางแปรรูปขั้นปลายมากขึ้น เช่น ยางล้อ และ ถุงมือยาง ซึ่งมีมูลค่าของสินค้ามากกว่ายางแปรรูปขั้นกลาง รวมถึงการเตรียมเอกสารสิทธิ์ในที่ดินให้ถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยผู้ประกอบการรายเล็กลดต้นทุนการตรวจสอบย้อนหลัง หรือ Traceability รวมถึงการติดตามการปรับกฎเกณฑ์เพิ่มเติม ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในปีหน้าที่จะถึงนี้

LastUpdate 24/12/2568 19:39:07 โดย : Admin
25-12-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 25, 2025, 1:18 am