คริปโตเคอเรนซี่
Scoop : ยุคทองเงินดิจิทัลมาหรือยัง? เมื่อ "คริปโต" ผ่านร่างกฎหมาย 3 ฉบับสำคัญของสหรัฐ


เรียกได้ว่าเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของวงการคริปโตเลยก็ว่าได้ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐ ลงมติผ่านร่างกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคริปโต 3 ฉบับรวด ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรครีพับลิกันพยายามกันอย่างยิ่งในการผลักดันวาระด้านสินทรัพย์ดิจิทัลให้สำเร็จ หลังจากที่ทรัมป์ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐ โดยตอนนี้ราคาของ Bitcoin ก็มีทิศทางสอดคล้องกับพัฒนาการครั้งสำคัญดังกล่าว ที่ทะยานขึ้นทำ New High ใหม่ ทุบสถิติอยู่เรื่อย ๆ จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าหรือยุคของการใช้เงินดิจิทัลจะมาถึงแล้ว?
 
ราคาของ Bitcoin ช่วง 2 เดือนมานี้ได้ทยอยทำสถิติใหม่ จวบจนมาถึงช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่ระดับราคาทะยานทำ New High ใหม่อีกครั้งทะลุ 120,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.9 ล้านบาท ตรงกับช่วงที่มีจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล เมื่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้มีการอนุมัติร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ที่เปิดทางให้กับการใช้งานคริปโตเคอร์เรนซี โดย 1 ใน 3 ร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบอย่าง GENIUS Act ได้ถูกส่งตรงไปยังโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เพื่อลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
ร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ มีอะไรบ้าง?
 
1. Guiding and Establishing National Innovation for US Stablecoins Act หรือ Genius Act
 
ที่ได้เกริ่นไปข้างต้นแล้วนั้น เป็นร่างกฎหมายที่มุ่งกำกับดูแล Stablecoin สกุลเงินดิจิทัลที่ต้องมีการแบ็คอัพด้วยสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐ หรือตราสารหนี้ระยะสั้น ในลักษณะที่ต้องมีเงินทุน 100% สำรองรับเต็มจำนวน โดยผู้ที่ออก Stablecoin (ธนาคาร หรือ บริษัท Non-Bank) ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed และต้องมีระบบการเปิดเผยองค์ประกอบเงินสำรองต่อสาธารณะอย่างโปร่งใสเป็นรายเดือนอีกด้วย เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถเชื่อมั่นในการใช้ Stablecoin แทนเงินสดได้อย่างปลอดภัย
 
โดย Genius Act ถือเป็นกฎหมายที่สำคัญที่สุดจากทั้ง 3 ฉบับ เพราะถือเป็นการเปิดทางให้ Stablecoin ถูกกฎหมาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐ เนื่องจากด้วยร่างกฎหมายที่กำหนดให้ Stablecoin ผูกกับเงินดอลลาร์หรือพันธบัตรระยะสั้นนั้น เป็นการเสริมความเชื่อมั่นให้กับระบบการเงินของสหรัฐ และสร้างภาพลักษณ์สหรัฐที่ดีบนเวทีโลกแห่งดิจิทัล ซึ่ง Genius Act ก็ถือว่าเป็นร่างกฎหมายที่ผ่านการอนุมัติในวุฒิสภาสหรัฐ และทรัมป์ก็ได้ลงนามบังคับใช้ไปแล้ว
 
2. Digital Asset Market Clarity Act หรือ CLARITY Act
 
เป็นร่างกฎหมายที่สร้างกรอบสำหรับการใช้ Stablecoin ให้เป็น “สินทรัพย์โภคภัณฑ์” หรือเป็นโทเคนที่ใช้สำหรับการซื้อ-ขาย หรือการโอนเงิน โดยจะไม่ทำให้โทเคนของ Stable Coin นั้น ๆ ถูกจัดเป็น “หลักทรัพย์” ที่เอาไว้ลงทุนเก็งกำไร ซึ่งเสี่ยงที่ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) หรือ ก.ล.ต.สหรัฐ จะฟ้องในฐานะการขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน เหมือนในเคสของ Ripple (XRP)
 
กล่าวคือ Clarity Act เป็นการแยก Stablecoin ออกจากหลักทรัพย์ และจัดเข้าหมวดใหม่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่เอาไว้ใช้สำหรับการชำระเงิน โดยจะมอบอำนาจให้คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ (CFTC) เป็นผู้กำกับดูแล ทำให้สถาบันที่ออก Stable Coin ไม่ต้องยื่น Registration หรือปฎิบัติตามกฎ ก.ล.ต.สหรัฐ (ที่มีหน้าที่กำกับดูแลหลักทรัพย์)
 
3. Anti-CBDC Surveillance State Act
 
เป็นร่างกฎหมายที่ต่อต้านรัฐเผด็จการดิจิทัล โดยจะห้ามไม่ให้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed สร้างสกุลเงินดิจิทัลของตัวเอง หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) ที่สามารถตรวจสอบพฤติกรรมการซื้อขาย หรือแนวคิดทางการเมืองของประชาชน รวมถึงห้ามทดลอง วิจัยระบบที่เกี่ยวข้องกับ Programmable Money ที่รัฐสามารถจำกัดการใช้จ่ายได้
 
ถือว่าเป็นร่างกฎหมายที่ป้องกันไม่ให้สหรัฐกลายเป็นเหมือนจีน ที่ใช้ CBDC เป็นเครื่องมือควบคุมประชาชน โดยจะสนับสนุนการออก Stable Coin จากภาคเอกชน ที่สามารถคุ้มครองสิทธิของพลเมืองจากการถูกติดตามโดยรัฐ
 
อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมาย CLARITY Act และ Anti-CBDC ยังต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา จึงอาจไม่สามารถรับประกันว่ายุคทองของคริปโตจะมาในเร็ววันนี้ เพราะยังมีข้อกังขาจากผลประโยชน์ที่ทรัมป์จะได้รับจากการผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากในรายละเอียดของข้อกฎหมาย มีมาตราเฉพาะที่ห้ามสมาชิกรัฐสภาและเจ้าหน้าที่รัฐบาลมีผลประโยชน์ใน Stablecoin แต่ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีกลับได้รับการยกเว้น นอกจากนี้ทรัมป์ยังมีส่วนได้ส่วนเสียกับ Stablecoin ที่ออกโดย World Liberty Financial ที่ตัวเขาและลูกค้าของตัวเองได้ร่วมก่อตั้ง อีกทั้งทางทรัมป์และผู้สนับสนุนฝ่ายพรรครีพับลิกันมีการผนวกกฎหมาย 3 ฉบับนี้ เข้าในร่างมติความมั่นคง เพื่อเร่งผ่านสภาคองเกรส จึงเป็นที่น่าจับจ้องว่าเป็นการเปิดทางให้ตัวเองได้รับผลกำไรเพิ่มโดยไม่ผิดกฎหมาย

LastUpdate 20/07/2568 21:26:51 โดย : Admin
24-08-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (22 ส.ค.68) บวก 8.60 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,253.39 จุด

2. MTS Gold คาดว่าราคาจะอยู่ในกรอบระหว่างแนวรับที่ระดับ 3,325 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 3,350 เหรียญ

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (22 ส.ค.68) บวก 9.98 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,254.77 จุด

4. พยากรณ์อากาศวันนี้ (22 ส.ค.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก" ฝนตกหนัก 70% ภาคอื่นๆ 60%

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (21 ส.ค.68) ร่วง 152.81 จุด กังวลพาวเวลส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงิน

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (21 ส.ค.68) ลบ 6.9 เหรียญ เหตุดอลลาร์แข็งค่า-ตลาดจับตาถ้อยแถลงพาวเวล

7. ทองเปิดตลาดวันนี้ (22 ส.ค. 68) ปรับขึ้น 50 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,350 บาท

8. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (22 ส.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.67 บาทต่อดอลลาร์

9. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.55-32.75บาท/ดอลลาร์

10. ตลาดหุ้นไทยเปิดวันนี้ (22 ส.ค.68) บวก 2.97 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,247.76 จุด

11. เติมด่วน! พรุ่งนี้น้ำมันเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ปรับขึ้น 40 สต./ลิตร เว้น E85 คงเดิม

12. ตลาดหุ้นปิด (21 ส.ค.68) ลบ 3.34 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,244.79 จุด

13. MTS Gold คาดราคาทองคำยังคงอยู่ในช่วงระหว่างแนวรับ 3,325 เหรียญ และ 3,360 เหรียญ หากราคาอ่อนตัวลงยังคงแนะนำให้เข้าซื้อเพื่อสะสม

14. แผ่นดินไหว 5.4 นอกชายฝั่งเมียนมา กรุงเทพฯ รับรู้แรงสั่นหลายพื้นที่

15. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (21 ส.ค.68) ลบ 2.13 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,246.00 จุด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ August 24, 2025, 9:34 pm