กองทุนรวม
MFC มอง "ตลาดหุ้นเกิดใหม่" น่าสนใจ ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าหลัง Fed เริ่มลดดอกเบี้ย


 

บลจ.เอ็มเอฟซี ส่อง "ตลาดหุ้นเกิดใหม่" น่าสนใจมากขึ้น รับสัญญาณ Fund Flow ไหลเข้าหลัง Fed เริ่มปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรก กดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า  พร้อมรับอานิสงส์ "จีน" ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่หนุนอีก แนะจังหวะลงทุน "กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต" (M-EM) ผ่านกองทุนหลัก Baillie Gifford เน้นลงทุนบริษัทชั้นนำมากด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่เติบโตสูงอย่างต่อเนื่องในระยะยาว 
 
 
 
นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า บลจ.เอ็มเอฟซี มองไตรมาส 4 นี้ ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Markets) มีความน่าสนใจลงทุนมากขึ้น ซึ่งได้ประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า (Fund Flow) สะท้อนได้จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า เมื่อเทียบกับสกุลเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุม FOMC วันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสัญญาณของจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง นอกจากนี้ Fed ยังมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปี 2567 และส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยรวม 1.00% ในปี 2568  
 
ขณะที่คณะกรรมการ Politburo ของรัฐบาลจีน ได้เตรียมเสริมมาตรการทางการคลังเพิ่มเติม เช่น การอัดฉีดเงินช่วยเหลือให้กับประชาชนที่อยู่ในกลุ่มรายได้ต่ำและเด็กกำพร้า รวมถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ที่สำเร็จการศึกษาแต่ยังไม่มีงานทำ สอดคล้องกับที่ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงิน เช่น ปรับลดอัตราสำรองเงินสด (RRR), ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 7 วัน (Reverse repo rate) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย, ปรับลดอัตราเงินดาวน์สำหรับบ้านหลังที่สอง และมาตรการส่งเสริมสภาพคล่องมูลค่ารวมราว 8 แสนล้านหยวน เพื่อนำไปใช้ซื้อหุ้นในตลาด รวมถึงซื้อหุ้นคืนด้วย
 
"บลจ.เอ็มเอฟซี มองการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังชุดใหญ่ของจีนในครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อแก้ปัญหาภาคอสังหาฯ และการบริโภค ที่เป็นปัจจัยถ่วงเศรษฐกิจจีนมานาน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดทุน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตของ GDP ที่ระดับ 5.0% ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นราว 15-20% จากจุดต่ำสุด โดยการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนในช่วงไตรมาส 4 จะเป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้น Emerging Markets ได้รับผลดีไปด้วย เนื่องจากปัจจุบันตลาดหุ้นจีนมีน้ำหนักในดัชนี MSCI Emerging Markets เป็นอันดับ 1 สัดส่วน 24.42% (ข้อมูล ณ 30 ส.ค. 67) และที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนยังปรับตัวขึ้นช้ากว่าประเทศตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ (Laggard)" นายธนโชติ กล่าว
 
นอกจากตลาดหุ้นจีนแล้ว ยังมีอีกหลายตลาดใน Emerging Markets ที่มีเรื่องราวการเติบโตที่น่าสนใจ เช่น ตลาดหุ้นอินเดียที่มีการเติบโตเชิงโครงสร้าง (Structural Growth) และเป็นหนึ่งในประเทศที่ GDP โตเร็วที่สุดในโลก ในระดับ 6-7% ต่อปี ขณะที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวันมีเทคโนโลยีที่เกี่ยวของกับเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ที่เป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ     ในเดือน พ.ย. นี้ เพราะหากโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง อาจเป็นความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นจากการขึ้นกำแพงภาษีใส่ประเทศจีน และประเทศอื่น ๆ 
 
"บลจ.เอ็มเอฟซี มองเป็นจังหวะในการเข้าลงทุนตลาดหุ้น Emerging Markets เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาวและสามารถนำไปจัดพอร์ตกระจายการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยง แนะนำ "กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต" (M-EM) ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในตลาดหุ้น Emerging Market  อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้น Emerging Markets มักจะมีความผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้น Developed Markets นักลงทุนควรคำนึงถึงสัดส่วนในการลงทุน ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ สำหรับการลงทุนระยะกลางถึงยาว"  นายธนโชติ กล่าว 

สำหรับกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต" (M-EM) มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Baillie Gifford Worldwide Emerging Markets Leading Companies Fund (กองทุนหลัก) บริหารจัดการโดย Baillie Gifford Investment Management (Europe) Limited เพียงกองทุนเดียวโดยเฉลี่ยในรอบปีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ซึ่งกองทุนเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีรายได้หลัก หรือมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)  เน้นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตของกำไรสูง และมีแนวทางการลงทุนระยะยาว นอกจากนี้กองทุนอาจลงทุนใน Derivatives เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและ Efficient Portfolio Management โดยกองทุนมีระดับความเสี่ยงระดับ 6 สามารถลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท 
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยง อัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และ/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก ผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) และตัวแทนสนับสนุนการขาย หรือ โทรศัพท์ 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 สาขาแจ้งวัฒนะ โทร. 0-2835-3055-57 สาขาปิ่นเกล้า โทร. 0-2014-3150-2 สาขาขอนแก่น โทร. 043-204-014-16 สาขาเชียงใหม่ โทร.0-5321-8480-82 สาขาระยอง โทร. 033-100-340 สาขาหาดใหญ่ โทร. 074-232-324-25 หรือที่ www.mfcfund.com  
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 02 ต.ค. 2567 เวลา : 11:52:17
22-10-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (21 ต.ค.67) ร่วง 344.31 จุด เหตุบอนด์ยีลด์พุ่งทุบตลาด

2. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (21 ต.ค.67) บวก 8.90 ดอลล์ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

3. ตลาดหุ้นไทยเปิด (22 ต.ค.67) ลบ 2.29 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,485.81 จุด

4. ทองเปิดตลาดวันนี้ (22 ต.ค.67) "คงที่" ทองรูปพรรณ ขายออก 43,750 บาท

5. ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก ส่งผล "กรุงเทพปริมณฑล" ฝนฟ้าคะนอง 70% ภาคเหนือ-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก 60% ภาคอีสาน-ภาคใต้ ฝั่ง ตอ. 40% ภาคใต้ ฝั่ง ตต. 20%

6. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.35-33.60 บาท/ดอลลาร์

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (22 ต.ค.67) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 33.52 บาทต่อดอลลาร์

8. ตลาดหุ้นปิด (21 ต.ค.67) ลบ 1.08 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,488.74 จุด

9. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำตลาดโลกจะมีกรอบแนวรับระยะสั้นที่ระดับ 2,710 เหรียญ และแนวรับระยะกลางที่ระดับ 2,700 เหรียญ

10. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (21 ต.ค.67) ลบ 3.01 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,486.81 จุด

11. ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองกับมีฝนตกหนักใน "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก" 70% ภาคเหนือ-ภาคอีสาน 60% ภาคใต้ 30-40%

12. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.00-33.25 บาท/ดอลลาร์

13. ทองเปิดตลาดวันนี้ (21 ต.ค. 67) ปรับขึ้น 200 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 43,250 บาท

14. ตลาดหุ้นไทยเปิด (21 ต.ค.67) บวก 0.85 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,490.67 จุด

15. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (21 ต.ค.67) "แข็งค่าขึ้น" ที่ระดับ 33.10 บาทต่อดอลลาร์

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 22, 2024, 12:31 pm