เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EIC วิเคราะห์ "อุตสาหกรรมอาหารทะเลมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบางและปัจจัยเสี่ยงด้านลบที่เพิ่มสูงขึ้น"


 
อุตสาหกรรมอาหารทะเลในปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้ สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยังต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบางและอาจเติบโตต่ำกว่าคาด รวมถึงผลกระทบจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มลุกลามและขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเสี่ยงด้านลบ (Downside risks) เหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความต้องการบริโภคอาหารทะเลของผู้บริโภคในระยะต่อไปได้

 
• มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปีนี้ โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวจะอยู่ที่ 7.5%YOY สอดคล้องกับอุปสงค์ในตลาดโลกและประเทศคู่ค้าหลักที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจทูน่ากระป๋องในระยะต่อไปมาจากความต้องการในตลาดเกิดใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น อาทิ กลุ่มตะวันออกกลาง, แอฟริกา, ลาตินอเมริกา รวมทั้งประเทศในกลุ่ม CLMV ซึ่งจะเข้ามาช่วยทดแทนความต้องการจากตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ที่เริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวแล้ว สำหรับแนวโน้มราคานำเข้าวัตถุดิบทูน่า (Skipjack) ซึ่งถือเป็นต้นทุนหลักของอุตสาหกรรมการผลิตทูน่ากระป๋องมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากปีนี้ สอดคล้องกับอุปสงค์ในตลาดโลกที่ปรับตัวดีขึ้น และสถานการณ์ Inventory destocking ที่คาดว่าได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุด (Bottom out) ไปแล้ว 
 
 
 
• มูลค่าการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน โดยคาดว่าอัตราการเติบโตในปีหน้าจะอยู่ที่ 3.3%YOY จากแรงหนุนของความต้องการนำเข้ากุ้งในตลาดส่งออกสำคัญที่ทยอยฟื้นตัว ทั้งนี้หากพิจารณาเป็นรายกลุ่มสินค้าจะพบว่าการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งสามารถฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID-19 ได้เร็วกว่ากุ้งแปรรูป ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งไปยังตลาดจีนที่เติบโตได้ดีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การส่งออกกุ้งในระยะต่อไปเริ่มกลับมามีความเสี่ยงด้านลบมากขึ้น จากภาพรวมแนวโน้มเศรษฐกิจและการบริโภคในจีนที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการนำเข้ากุ้งจากไทยในปีหน้าได้

 
ประเด็นสำคัญและความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารทะเล ได้แก่
 
• ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ยังคงเปราะบางและมีความเสี่ยงสูง จากปัจจัยเสี่ยงรอบด้านที่กดดันแนวโน้มการฟื้นตัว รวมถึงปัญหา Geopolitics ที่คาดว่าจะยังคงยืดเยื้อและอาจขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งปัจจัยลบเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะการใช้จ่ายในสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างอาหารทะเล
 
 
 
• มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-tariff barriers : NTB) โดยเฉพาะเทรนด์เรื่อง ESG การทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable fishing) และการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม (Fair labor practices) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการในธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและลดอุปสรรคทางการค้า
 
• การแข่งขันจากสินค้านวัตกรรมทางเลือกใหม่ ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ประเภท Plant-based seafood ที่มีการวิจัยและพัฒนาออกมาอย่างหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์และหันมานิยมบริโภคโปรตีนทางเลือกจากพืชมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน
 
• นโยบายการสร้างความมั่นคงด้านอาหาร (Food security) ของคู่ค้าหลักอย่างจีน ส่งผลให้จีนมีแนวโน้มทยอยลดการนำเข้าและพึ่งพาการผลิตภายในประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก ซึ่งรวมถึงสินค้าประมงอย่างกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง

 
จากความท้าทายดังกล่าวข้างต้น SCB EIC มองว่า ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับปรุงและพัฒนากระบวนการผลิตของตนให้สอดรับกับกฎระเบียบและมาตรฐานสากลโดยเฉพาอย่างยิ่งประเด็นด้าน ESG เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และลดอุปสรรคทางการค้าต่าง ๆ รวมถึงต้องให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีความหลากหลายและแปลกใหม่ ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ รวมไปถึงการหาแนวทางสร้างมูลค่าเพิ่มจาก By-product ในกระบวนการผลิต พร้อม ๆ ไปกับการมองหาตลาดส่งออกสินค้าประมงใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและหลีกหนีการแข่งขันในตลาดส่งออกเดิม  

อ่านต่อบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม... https://www.scbeic.com/th/detail/product/seafood-121124

 
ผู้เขียนบทวิเคราะห์ : โชติกา ชุ่มมี ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิต ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) EIC Online : www.scbeic.com Line : @scbeic
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 19 พ.ย. 2567 เวลา : 14:02:48
21-11-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (21 พ.ย.67) ลบ 22.02 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,440.46 จุด

2. ประกาศ กปน.: 26 พ.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนเพชรเกษม

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (21 พ.ย.67) ลบ 18.69 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,443.79 จุด

4. MTS Gold คาดมีกรอบแนวรับ 2,630 เหรียญ และมีแนวต้านที่ 2,675 เหรียญ

5. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (20 พ.ย.67) พุ่งขึ้น 20.70 เหรียญ เหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน หนุนแรงซื้อทอง

6. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (20 พ.ย.67) บวก 139.53 จุด นักลงทุนจับตาผลประกอบการ Nvidia

7. มวลอากาศเย็นจากประเทศจีนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ภาคเหนือ-ภาคอีสาน อากาศเย็นตอนเช้า "ยอดดอย" อุณหภูมิต่ำสุด 7 องศา "ยอดภู" 13 องศา ภาคใต้ ฝน 60-70%

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (21 พ.ย. 67) ลบ 16.23 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,446.25 จุด

9. ทองเปิดตลาดวันนี้ (21 พ.ย. 67) พุ่งขึ้น 400 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 44,000 บาท

10. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (21 พ.ย.67) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 34.64 บาทต่อดอลลาร์

11. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์

12. ตลาดหุ้นปิด (20 พ.ย.67) บวก 2.37 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,462.48 จุด

13. ประกาศ กปน.: 25 พ.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนรัชดาภิเษก-รามอินทรา

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (20 พ.ย.67) ลบ 3.23 จุดดัชนีอยู่ที่ 1,456.88 จุด

15. MTS Gold คาดมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,620 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,655 เหรียญ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 21, 2024, 8:27 pm