
การปรับปรุงมาตรการกำกับดูแลการซื้อขายเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และเสถียรภาพให้กับตลาด มองเป็นแค่ Sentiment บวกระยะสั้น ขณะที่รายงานประชุมเฟดยังส่งสัญญาณไม่รีบลดดอกเบี้ย ทำให้มองการฟื้นตัวของดัชนียังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1272 และ 1280 จุด ด้านแนวรับอยู่ที่ 1245-1250 จุด หากต่ำกว่าเป็นลบต่อ
ประเด็นสำคัญ
• ตลท. ปรับมาตรการกำกับซื้อขาย เพิ่มสภาพคล่อง-ดันวอลุ่ม: ปรับ Uptick เฉพาะรายหุ้น, จำกัดขายชอร์ตและโปรแกรมเทรดความเร็วสูงซื้อขายในกลุ่ม SET100 เท่านั้น และยกเลิกกำหนดระยะเวลาคงคำสั่งซื้อขาย คาดประกาศใช้ใน 2Q68 และคงมาตรการถึงปี 2569
• ปธน. สหรัฐฯ เผยเตรียมจะขึ้นภาษีนำเข้าต่อยานยนต์, เซมิฯ และเวชภัณฑ์ ในอัตรา 25% ในวันที่ 2 เม.ย. นี้ โดยยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับประเทศเป้าหมายหรือชนิดสินค้าอย่างเฉพาะเจาะจง และแนะนำให้ย้ายฐานการผลิตสู่สหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงภาษีดังกล่าว
• รายงานการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 28-29 ม.ค. ส่งสัญญาณว่าเฟดพร้อมจะคงดอกเบี้ยต่อท่ามกลางความไม่แน่นอนของเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ ขณะที่มีบางส่วนอยากเห็นเงินเฟ้อลดลงใกล้ระดับเป้าหมายที่ 2% ก่อนที่จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยต่อ
• ปลัดคลังเผยกำลังเร่งพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหวังดัน GDP เติบโต 3.0-3.5% ส่วนข้อสรุป ThaiESG กองที่ 2 เพื่อรับเงินจาก LTF คาดจะได้ข้อสรุปใน 1Q68 คาดจะช่วยลดเงินไหลออกจากตลาดหุ้น
• ส.อ.ท. เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ม.ค. 2568 อยู่ที่ 91.6 เพิ่มขึ้นจาก 90.1 ใน ธ.ค. 2567 เป็นผลจากการส่งออกขยายตัวจากอุปสงค์ประเทศคู่ค้าที่เพิ่มขึ้น, การเร่งนำเข้าเพื่อสต๊อกสินค้า และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จากรัฐบาล
• สมาคมประกันชีวิตไทยประเมินธุรกิจประกันชีวิตปี 2568 จะเติบโต 2-3% หนุนจากความตระหนักต่อเงินเฟ้อทางการแพทย์เฉลี่ย 8-10%, การขยายช่วงรับประกันสุขภาพถึง 80 ปี และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวแต่ Upside จำกัด มีแนวต้านที่บริเวณ 1320 จุด ปัจจัยต่างประเทศมีประเด็นติดตามอย่างรายงานการะประชุมของ FOMC ซึ่งคาดจะเป็นลบต่อบรรยากาศลงทุน หลังประธานเฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐฯ ที่คาดจะออกมาไม่ดีนัก หลังจาก ปธน. สหรัฐฯ ยังมีท่าทีดำเนินสงครามการค้าต่อทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในหลายส่วน ส่วนปัจจัยในประเทศมีประเด็นติดตามอย่างการประกาศงบ 4Q67 ของบจ. Real Sector ในช่วงสองสัปดาห์สุดท้าย ส่วน GDP 4Q67 ของไทยที่คาดฟื้นตัวต่อเนื่องและเติบโตได้จากฐานต่ำปีก่อน และ 1Q68 คาดจะเติบโตจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ยังเร็วเกินไปที่จะมีการปรับ GDP ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET มีโอกาสฟื้นตัว แต่ Upside จำกัดหลังไร้ปัจจัยใหม่ กลยุทธ์ลงทุนแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนกำไร 4Q67-1Q68 ที่คาดจะเติบโต YoY และ QoQ และมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC
2. หุ้น Event Play ที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของรัฐอย่าง Easy E-Receipt และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ขณะที่ผลประกอบการ 4Q67 คาดจะเติบโตดี แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO TNP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT AWC ERW)
3. หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน จาก SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุนและ Downside Risk จำกัด เนื่องจาก 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่งและมีโอกาสซื้อหุ้นคืน 3) Valuation ไม่แพง PER และ PBV 2568F ต่ำกว่า -1SD และ 4) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ได้แก่ BCP AP PTT TU SPALI
4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำเก็งกำไร 1) หุ้นที่คาดสัปดาห์นี้จะประกาศงบ 4Q67 กำไรเติบโต YoY และ QoQ ซึ่งคาดกำไรจะดีกว่าตลาดคาด แนะนำ CPAXT MTC TRUE CBG และ 2) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์หลัง MSCI Rebalance ซึ่งจะมีผล 28 ก.พ. 2568 แนะนำ หุ้นที่จะเข้า Global Small Cap อย่าง GPSC SCGP ขณะที่ระมัดระวัง PTTGC TOP ที่ออกจาก Global standard แม้จะเข้า Global Small Cap
DAILY TOP PICKS
KTB: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นจากล่าสุดประกาศจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 1.545 บาท (XD 17 เม.ย.) คิดเป็น Div. Yield สูงถึง 6.4% และเราปรับประมาณการอัตราจ่ายเงินปันผลปี 2568-70 เพิ่มจาก 35% เป็น 50% ทำให้ ROE เพิ่มขึ้น 20-28 bps เป็น 10% หลังบริษัทปรับเพิ่มอัตราจ่ายเงินปันผลปี 2567 เป็น 49% ซึ่งสูงกว่าคาด
BLA: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นจาก 1) กำไรสุทธิ 4Q67 ออกมาดีกว่าคาดอย่างมากซึ่งเป็นผลมาจากกำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น 2) ปี 2568 คาดกำไรจะเติบโตดีที่ 18%YoY จาก Combined Ratio ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และ 3) Valuation ที่น่าสนใจ หลังราคาหุ้นลดลงแล้ว 22% ตั้งแต่ พ.ย. 2567 ทั้งนี้วันนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรไม่เกินราคาหุ้นละ 20.40 บาท
ข่าวเด่น