(+) ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสและเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น หลังสต็อกน้ำมันสำเร็จรูปของสหรัฐฯ ปรับลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ โดยสต๊อกน้ำมันดีเซลและน้ำมันทำความร้อน ปรับลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล ในขณะที่สต๊อกน้ำมันเบนซินปรับลดลง 0.53 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางกลับมาทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังกองทัพอิสราเอลได้กลับมาโจมตีฉนวนกาซาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 400 ราย เหตุการณ์ดังกล่าวยังถือเป็นการสิ้นสุดข้อตกลงหยุดยิงเป็นระยะเวลา 2 เดือนกับกลุ่มฮามาส ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของภูมิภาค และอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในอนาคต
(-/+) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยระบุว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม เฟดได้ส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพิ่มเติมภายในสิ้นปีนี้
(-) สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 14 มี.ค. 68 ปรับเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 437.0 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับเพิ่มขึ้นราว 0.5 ล้านบาร์เรล
ราคาน้ำมันเบนซิน
ราคาน้ำมันเบนซินปรับลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปสงค์ในภูมิภาคที่ยังคงมีแนวโน้มอ่อนแอ จากปัญหาเศรษฐกิจในหลายประเทศ โดยสต๊อกน้ำมันเบนซินของออสเตรเลียปรับเพิ่มขึ้น 20.8% MoM สู่ระดับ 8.2 ล้านบาร์เรล ขณะที่ยอดการนำเข้าน้ำมันเบนซินปรับลดลง 16.2% มาอยู่ที่ระดับ 7.1 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ อุปสงค์น้ำมันเบนซินในไทย ก็มีแนวโน้มลดลงหลังผู้บริโภคเผชิญกับภาวะค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง
ราคาน้ำมันดีเซล
ราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปทานน้ำมันดีเซลในจีนมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่อุปสงค์ในประเทศจีนยังคงมีแนวโน้มชะลอตัว แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากแผนการจัดหาไบโอดีเซลอย่างต่อเนื่องของอินเดีย เพื่อบรรลุเป้าหมายการผสมเชื้อเพลิงชีวภาพ โดยเฉพาะไบโอดีเซลที่กำหนดอัตราส่วนที่ 5% ภายในปี ค.ศ. 2030
ข่าวเด่น