หุ้นทอง
SETHD Index: ดัชนีหุ้นปันผล อีกหนึ่งมุมมองในการเลือกลงทุนในหุ้นปันผล


 

ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน สำหรับบุคคลธรรมดาของธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ของบริษัทจดทะเบียนไทย สูงประมาณ 1.37 ถึง 2.48 เท่าของอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 12 เดือน ดังนั้น การลงทุนในหุ้นปันผล จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนระยะยาว 


· ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มหุ้นปันผลโดยเผยแพร่ดัชนีราคา SET High Dividend 30 (SETHD Index) ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ซึ่งคัดเลือก 30 หลักทรัพย์จาก SET100 Index โดยพิจารณาจากสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอและมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ซึ่งพบว่า

หากพิจารณาผลตอบแทนของการเปลี่ยนแปลงของดัชนีในช่วง 5 ปีย้อนหลัง ที่ผ่านช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส (COVID-19) พบว่า SETHD Index ให้ผลตอบแทนดีกว่าทั้ง SET Index และ SET100 Index และหากพิจารณาผลตอบแทนของการเปลี่ยนแปลงดัชนีในช่วง 10 ปีย้อนหลัง พบว่า SETHD Index ลดลงน้อยกว่า Index และ SET100 Index 

ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วง 3 ปีล่าสุดของทุกหลักทรัพย์ที่องค์ประกอบ SETHD Index อยู่ที่ 5.58% โดยค่าเฉลี่ยฯ อยู่ในช่วง 2.45% ถึง 17.03% และพบว่า 16 หลักทรัพย์จากทั้งหมด 30 หลักทรัพย์ มี Dividend Yield เฉลี่ย 3 ปี สูงกว่า 5% ต่อปี โดยมี Dividend Yield เฉลี่ย 3 ปีอยู่ในช่วง 5.43% ถึง 17.03%  

หากนักลงทุนไม่ต้องการเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวในองค์ประกอบของ SETHD Index อาจพิจารณาเลือกลงทุนใน “1DIV” ได้ โดยกองทุนเปิดไทยเด็กซ์ SET High Dividend ETF (1DIV) เป็นหน่วยลงทุนของกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลดีและสม่ำเสมอ ซึ่งจะลงทุนในตราสารทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิง (ดัชนี SET High Dividend 30 Index) 

· โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำอยู่ในระดับต่ำ การเลือกลงทุนในหุ้นปันผลที่ขณะนี้ที่ราคาหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักลงทุนโดยอาจเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของ SETHD Index ที่เป็นหลักทรัพย์ที่สภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและต่อเนื่อง หรือเลือกลงทุนใน “1DIV” ที่เป็นหน่วยลงทุนของกองทุนที่เน้นการลงทุนในองค์ประกอบของ SETHD Index อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย อาทิ ราคาตลาดของหลักทรัพย์ในขณะนั้นเมื่อเทียบกับราคาที่แท้จริง ความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ ภาวะเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน สภาพคล่องในการซื้อขาย จังหวะเวลาในการเข้าลงทุนในหุ้นปันผลนั้น ๆ เป็นต้น

อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ของบริษัทจดทะเบียนไทยสูงประมาณ 1.25 - 2.25 เท่าของอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 12 เดือน ขณะที่บางอุตสาหกรรมมี Dividend Yield สูงเป็น 2 เท่าของอัตราที่สูงที่สุดของดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนของธนาคารพาณิชย์

เมื่อพิจารณาจากอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 12 เดือน สำหรับบุคคลธรรมดาของธนาคารพาณิชย์ที่เปิดเผยในเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ณ สิ้นปี 2567 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนฯ (ตารางที่ 1) ส่วนใหญ่ปรับลดลงจากสิ้นปี 2566 มาอยู่ที่ระดับ 1.30% ถึง 2.35% ขณะที่ระดับเงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ระดับ 0.4%

 
เมื่อพิจารณาผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ณ สิ้นปี 2561 - 2567 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย (ตารางที่ 2) พบว่า ในทุกปีที่ทำการศึกษาผลตอบแทนจากเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (SET) สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน และสูงประมาณ 1.37 - 2.48 เท่าของอัตราที่สูงที่สุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนของธนาคารพาณิชย์ และพบว่า ณ สิ้นปี 2567 บางอุตสาหกรรมให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงเกือบ 2 เท่าของอัตราที่สูงที่สุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนฯ1 ดังนั้น การลงทุนระยะยาวโดยการเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่จ่ายเงินปันผล อาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการโยกย้ายเงินออม โดยนักลงทุนต้องพิจารณาจังหวะในการเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นอยู่ในระดับที่เหมาะสม

SETHD Index เป็นดัชนีสะท้อนความเคลื่อนไหวราคาของกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดและมีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งมุมมองในการเลือกลงทุนในหุ้นปันผล

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มหุ้นปันผลโดยเผยแพร่ดัชนีราคา SET High Dividend 30 Index (SETHD) ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ซึ่ง SETHD Index เป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวราคาของกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูง (Market Capitalization) มีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและต่อเนื่อง

สำหรับคุณสมบัติของหลักทรัพย์ที่อาจได้รับการคัดเลือกเป็นองค์ประกอบดัชนี  ดังนี้

•หลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของ SET100 Index ในรอบทบทวนเดียวกัน ซึ่งเป็นตัวแทนของหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูง มีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ 

•จ่ายตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยพิจารณาจากพฤติกรรมของบริษัทจดทะเบียนในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยต้องเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปีตามรอบบัญชี โดยการจ่ายเงินปันผลนี้ไม่รวมการจ่ายเงินปันผลที่บริษัทจดทะเบียนระบุว่าเป็น “เงินปันผลพิเศษ”

•พิจารณาถึงการเติบโตของกิจการในอนาคต โดยบริษัทจดทะเบียนจะต้องจ่ายเงินปันผลไม่เกินกว่ากำไรสุทธิในงวดนั้นๆ หรือมีอัตราส่วนการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout Ratio) โดยเฉลี่ยในช่วง 3 ปีย้อนหลังไม่เกิน 100% และแต่ละปี Payout Ratio ต้องไม่ติดลบ

เมื่อประเมินผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงดัชนีของ SETHD Index  เทียบกับ SET Index และ SET100 Index (ตารางที่ 3) พบว่า

 
• หากพิจารณาผลตอบแทนของการเปลี่ยนแปลงของทั้ง 3 ดัชนีในช่วง 5 ปีย้อนหลัง  ที่ผ่านช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส (COVID-19) ตามตารางที่ 3 และภาพที่ 1 พบว่า SETHD Index ให้ผลตอบแทนดีกว่าทั้ง SET Index และ SET100 Index และหากพิจารณาผลตอบแทนของการเปลี่ยนแปลงดัชนีในช่วง 10 ปีย้อนหลัง พบว่า SETHD Index ลดลงน้อยกว่า Index และ SET100 Index

16 หลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบ SETHD Index มี Dividend Yield เฉลี่ย 3 ปี สูงกว่า 5% ต่อปี 

เมื่อพิจารณาจากค่าเฉลี่ยผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วง 3 ปีล่าสุด  พบว่า ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วง 3 ปีล่าสุดของทุกหลักทรัพย์ที่องค์ประกอบ SETHD Index อยู่ที่ 5.58% โดยค่าเฉลี่ยฯ อยู่ในช่วง 2.45% ถึง 17.03% และพบว่า 16 หลักทรัพย์จากทั้งหมด 30 หลักทรัพย์ มี Dividend Yield เฉลี่ย 3 ปี สูงกว่า 5% ต่อปี โดยมี Dividend Yield เฉลี่ย 3 ปีอยู่ในช่วง 5.43% ถึง 17.03% ตามแสดงในตารางที่ 4

 
เมื่อพิจารณาจากค่าเฉลี่ยผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วง 3 ปีล่าสุด  พบว่า ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วง 3 ปีล่าสุดของทุกหลักทรัพย์ที่องค์ประกอบ SETHD Index อยู่ที่ 5.58%โดยค่าเฉลี่ยฯ อยู่ในช่วง 2.45% ถึง 17.03% และพบว่า16 หลักทรัพย์จากทั้งหมด 30 หลักทรัพย์ มี Dividend Yield เฉลี่ย 3 ปี สูงกว่า 5% ต่อปี โดยมี Dividend Yield เฉลี่ย 3 ปีอยู่ในช่วง 5.43% ถึง 17.03% ตามแสดงในตารางที่ 4
 


หากนักลงทุนไม่ต้องการเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวในหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของ SETHD Index อาจเลือกลงทุนใน “1DIV” ได้ โดยกองทุนเปิดไทยเด็กซ์ SET High Dividend ETF (1DIV) เป็นหน่วยลงทุนของกองทุนที่นโยบายลงทุนในหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลดีและสม่ำเสมอ ซึ่งจะลงทุนในตราสารแห่งทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิง (ดัชนี SET High Dividend 30 Index) ซึ่งรวมถึงหลักทรัพย์ที่อยู่ในระหว่างการเข้าหรือออกจากการเป็นหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิงด้วย ซึ่งการลงทุนใน 1DIV นอกจากจะช่วยลดระยะเวลานักลงทุนในการติดตามหุ้นรายตัว เนื่องจากมีผู้จัดการกองทุนเป็นผู้บริหารจัดการแล้ว ยังสามารถกระจายความเสี่ยงการลงทุนโดยอัตโนมัติผ่านการลงทุนในหน่วยลงทุนที่เปรียบเสมือนตระกร้ารวมหุ้นปันผล โดยจากราคาปิดของ 1DIV ณ 9 เมษายน 2568 อยู่ที่ 9.42 บาท ต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยของกองทุนที่อยู่ที่ 9.4264 บาท (ภาพที่ 2)

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก 1DIV ก็เป็นหน่วยลงทุนที่บริหารแบบเชิงรับ (Passive Fund) สามารถปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีแนวโน้มว่าผลประกอบการอาจด้อยลงได้อย่างทันที อาจทำให้การลงทุนใน 1DIV มีผลตอบแทนจำกัด และเนื่องจากหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิงพิจารณาหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลทำให้หลักทรัพย์กระจุกตัวในกลุ่มธุรกิจการเงินกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มทรัพยากร ทำให้กองทุนอาจมีความเสี่ยงสูงหากอุตสาหกรรมเหล่านั้นประสบปัญหา และเนื่องจาก 1DIV มีการดำเนินการเป็นกองทุนจึงมีค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมการจัดการเพิ่มเติม ซึ่งต่างจากการลงทุนในหุ้นรายตัว ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำอยู่ในระดับต่ำ การเลือกลงทุนในหุ้นปันผลที่ขณะนี้ที่ราคาหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักลงทุนโดยอาจเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของ SETHD Index ที่เป็นหลักทรัพย์ที่สภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและต่อเนื่อง หรือเลือกลงทุนใน “1DIV” ที่เป็นหน่วยลงทุนของกองทุนที่เน้นการลงทุนในองค์ประกอบของ SETHD Index อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย อาทิ ราคาตลาดของหลักทรัพย์ในขณะนั้นเมื่อเทียบกับราคาที่แท้จริง  ความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ ภาวะเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน สภาพคล่องในการซื้อขาย จังหวะเวลาในการเข้าลงทุนในหุ้นปันผลนั้น ๆ เป็นต้น

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 10 เม.ย. 2568 เวลา : 19:11:40
21-04-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นไทยปิด (18 เม.ย.68) บวก 9.67 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,150.95 จุด

2. ประกาศ กปน.: 24 เม.ย. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนเทอดพระเกียรติ

3. ตลาดหุ้นไทยปิดภาคเช้า (18 เม.ย.68) บวก 3.88 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,145.16 จุด

4. MTS Gold คาดจะมีกรอบแนวรับ ที่ 2,290 เหรียญ และมีแนวต้านที่ 3,350 เหรียญ

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (17 เม.ย.68) ร่วง 527.16 จุด เหตุหุ้น UnitedHealth ดิ่งหนักฉุดตลาด

6. ประเทศไทยฝนฟ้าคะนองในภาคใต้ 40% ภาคเหนือ-ภาคกลาง-ภาคอีสาน-ภาคตะวันออก 30% กรุงเทพปริมณฑล 20%

7. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (17 เม.ย.68) ร่วง 18 เหรียญ จากแรงเทขายทำกำไรหลังราคาพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์

8. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.25-33.45 บาท/ดอลลาร์

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (18 เม.ย.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 33.36 บาทต่อดอลลาร์

10. ทองเปิดตลาดวันนี้ (18 เม.ย. 68) ปรับขึ้น 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 53,250 บาท

11. ตลาดหุ้นไทยเปิด (18 เม.ย.68) บวก 1.46 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,143.26 จุด

12. ตลาดหุ้นไทยปิด (17 เม.ย.68) บวก 2.38 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,141.28 จุด

13. ประกาศ กปน.: 22 เม.ย. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ตัดถนนพัฒนาการตัดใหม่

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (17 เม.ย.68) ลบ 1.09 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,137.81 จุด

15. ทั่วไทยวันนี้ฝนฟ้าคะนอง ภาคใต้ ฝนตกหนัก 60-70% ภาคตะวันออก 40% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคเหนือ-ภาคอีสาน 30%

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 21, 2025, 3:59 am