
คาด SET แกว่ง sideways โดยแม้ยังมี momentum เชิงบวกหนุน แต่มอง upside ยังจำกัด จากความกังวล Fed ต่อแนวโน้มเงินเฟ้อและการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐอาจทำให้ Fed ชะลอการลดดอกเบี้ย รวมทั้ง Nvidia ถูกจำกัดการส่งออกชิปไปยังจีน ประเมินแนวรับที่ 1128-1120 จุด แนวต้านที่ 1148-1155 จุด
ประเด็นสำคัญ
• ประธานเฟดเตือนมาตรการกำแพงภาษีของปธน. ทรัมป์ อาจกระทบเศรษฐกิจอย่างหนัก จนเฟดตกที่นั่งลำบากที่สุดในรอบกว่า 50 ปี ทั้งนี้เฟดจะรอความชัดเจนของนโยบายทรัมป์ก่อนตัดสินใจนโยบายการเงิน
• ปธน. ทรัมป์ สั่งสอบสวนการนำเข้าแร่สำคัญเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติหรือไม่ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่อาจนำไปสู่การขึ้นภาษีศุลกากร
• จีนเผย GDP 1Q68 เติบโต 5.4%YoY สูงกว่าตลาดคาด ขณะที่ยอดส่งออก มี.ค. ปรับขึ้น 12.4%YoY แข็งแกร่งสุดนับตั้งแต่ ต.ค. 67 จากภาคธุรกิจจีนเร่งส่งออกสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงสหรัฐเก็บภาษีศุลกากร
• Scope สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือของยุโรปเตือนว่า สหรัฐอาจถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ หากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อบั่นทอนความเชื่อมั่นระยะยาวในค่าเงินดอลลาร์หรือหากใช้มาตรการที่รุนแรงยิ่งขึ้น
• ผู้ว่า BOJ ส่งสัญญาณอาจต้องปรับนโยบายการเงินหากมาตรการภาษีนำเข้าของปธน. ทรัมป์ ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
• EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ก่อนเพิ่มขึ้น 515,000 บาร์เรล สูงกว่าตลาดคาด ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินลดลงมากกว่าตลาดคาด
• รมว.คลังหารือผู้ว่าธปท. รับมือภาษีทรัมป์ เห็นตรงกันยังไม่สามารถหามาตรการที่เป็นข้อสรุป แต่เตรียมพร้อมเรื่องสภาพคล่องที่อาจกระทบตลาดทุนและผู้ส่งออก พร้อมออกมาตรการและหารือกับ ธปท. ใกล้ชิด
• รมว.คลัง เผยจากการหารือกับ PTT เบื้องต้นถึงแผนนำเข้าก๊าซ LNG จากสหรัฐฯ เพิ่มเติมอีก 1 ล้านตันเศษภายในระยะเวลา 5 ปี มูลค่าราว 600 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นส่วนที่ใกล้จะหมดสัญญาซื้อขายจากแหล่งอื่นๆ ซึ่งในส่วนนี้ไทยจะพิจารณานำเข้าจากสหรัฐฯ แทน
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังผันผวนและบรรยากาศการซื้อขายจะยังเป็นไปอย่างระมัดระวัง เนื่องจากความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าสหรัฐ รวมทั้งยังต้องติดตามการตอบโต้ทางภาษีระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งอาจฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันยังต้องจับตาการเจรจาทางการค้าของไทยกับสหรัฐ หลังรัฐบาลไทยเตรียมบินเจรจากับสหรัฐในวันที่ 19-25 เม.ย.นี้ ซึ่งคาดข้อสรุปอาจต้องใช้เวลา 2-3 เดือน อย่างไรก็ดี สัปดาห์นี้ (17 เม.ย.) มองท่าทีการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดได้ในระดับนึง โดยหากมีการผ่อนคลายทางการเงินน่าจะช่วยพยุงตลาดได้ในระยะสั้น ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
Weekly Portfolio: มอง SET ยังผันผวนและบรรยากาศการซื้อขายยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวัง จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐ และยังต้องติดตามการตอบโต้ทางภาษีระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งอาจฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลัก และ 1 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้นน่าสนใจ SET50: ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100: BCH BTG
2. หุ้น Undervalued คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC MINT BJC CPF
3. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้สงครามการค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนำ หุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการปรับลงของราคาน้ำมันและดอกเบี้ย ได้แก่ BCH CPALL CPAXT GULF MTC OR และ TRUE ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางตรงจากส่งออกไปสหรัฐ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้าเกษตร เครื่องประดับ และกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ นิคม ท่องเที่ยว ธนาคาร
DAILY TOP PICKS
ADVANC: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากความเป็นหุ้น Defensive ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าน้อย เนื่องจากรายได้ทั้งหมดอ้างอิงในประเทศ คาดกำไรเติบโตได้ต่อเนื่อง โดย 1Q68 คาดกำไรจะเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง YoY (จากการปรับ package มือถือแบบเติมเงิน) และ QoQ (จากค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลง) หนุนให้ปี 2568 คาดมีกำไร 38.5 พันลบ. เติบโต 10.5%YoY อีกทั้งมองมีโอกาสเพิ่มกำไรจากการประมูลใบอนุญาตที่กำลังจะมาถึงเป็น upside ต่อราคาเป้าหมาย
MTC: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากการปรับตัวลงของ Bond Yield อีกทั้งยังเป็นหุ้น Undervalued โดยปี 2568 คาดกำไรเติบโต 17%YoY ขณะที่ปัจจุบันซื้อขายที่ PER 68F ระดับ 14.6 เท่า คิดเป็น -2SD ของ PER เฉลี่ยในอดีตของบริษัท และน่าจะเป็นเป้าหมายของกองทุน ThaiESGX จากมี SETESG ratings ระดับ AAA
ข่าวเด่น