
คาด SET แกว่งในกรอบ ตลาดยังรอปัจจัยใหม่ โดยเฉพาะความคืบหน้าการต่อรองภาษีกับสหรัฐซึ่งไทยมีกำหนดเจรจา 23 เม.ย. ขณะที่กลุ่มพลังงานน่าจะได้แรงหนุนตามราคาน้ำมันที่ขยับขึ้น แต่คาดวันนี้มูลค่าซื้อขายน่าจะเบาบางต่อ เนื่องจากตลาดต่างประเทศหลายแห่งปิดทำการในวัน Good Friday ประเมินแนวรับที่ 1130-1125 จุด แนวต้านที่ 1148-1155 จุด
ประเด็นสำคัญ
• นายกรัฐมนตรีเผย รมว.คลัง นำทีมไทยเจรจารัฐมนตรีสหรัฐ 23 เม.ย. มั่นใจผลเจรจาเป็นประโยชน์ 2 ประเทศ ไทยยื่น 5 ข้อเสนอ ลดดุลการค้าสหรัฐ 50% ใน 5 ปี พร้อมหนุนอาเซียนผนึกกำลังเจรจาภาษีสหรัฐ
• ธปท. เผยส่ง 3 รายชื่อผู้ผ่านคัดเลือกได้รับไลเซนส์ Virtual Bank ให้กระทรวงการคลังแล้ว คาดคลังมีเวลาพิจารณา 3 เดือน ก่อนประกาศชื่ออย่างเป็นทางการภายใน 19 มิ.ย.นี้ พร้อมชี้ทั้ง 3 รายเหมาะสม ในการกำกับดูแล-ดูแลความเสี่ยง ก่อนพิจารณาใหม่ในเฟสถัดไป
• ธปท. ระบุว่านโยบายการค้าของสหรัฐส่งผลให้ระยะสั้นตลาดการเงินผันผวนมากขึ้น พร้อมคาดกดดันให้ GDP ไทยปีนี้หลุดเป้า 2.5% โดยจะส่งผลต่อการส่งออกมากขึ้นใน 2H68 รวมทั้งจะเริ่มเห็นการผลิตการค้า และการลงทุนบางส่วนชะลอเพื่อรอความชัดเจน
• ECB มีมติปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 7 ในรอบ 1 ปีอีก 0.25% สู่ระดับ 2.25% เพื่อลดความกังวลและฟื้นฟูความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาษีทางการค้าของสหรัฐ
• ปธน. ทรัมป์ เรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย พร้อมขู่ว่าจะปลดนายพาวเวลออกจากตำแหน่งหากไม่สนองต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว
• สหรัฐออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ โดยมุ่งเป้าไปที่การส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ซึ่งการคว่ำบาตรครั้งนี้รวมถึงโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็กในจีนด้วย ขณะที่โอเปกมีแผนจะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติม เพื่อชดเชยการผลิตเกินโควตาตามที่ได้ตกลงกันไว้
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังผันผวนและบรรยากาศการซื้อขายจะยังเป็นไปอย่างระมัดระวัง เนื่องจากความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าสหรัฐ รวมทั้งยังต้องติดตามการตอบโต้ทางภาษีระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งอาจฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันยังต้องจับตาการเจรจาทางการค้าของไทยกับสหรัฐ หลังรัฐบาลไทยเตรียมบินเจรจากับสหรัฐในวันที่ 19-25 เม.ย.นี้ ซึ่งคาดข้อสรุปอาจต้องใช้เวลา 2-3 เดือน อย่างไรก็ดี สัปดาห์นี้ (17 เม.ย.) มองท่าทีการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดได้ในระดับนึง โดยหากมีการผ่อนคลายทางการเงินน่าจะช่วยพยุงตลาดได้ในระยะสั้น ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
Weekly Portfolio: มอง SET ยังผันผวนและบรรยากาศการซื้อขายยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวัง จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐ และยังต้องติดตามการตอบโต้ทางภาษีระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งอาจฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลัก และ 1 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้นน่าสนใจ SET50: ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100: BCH BTG
2. หุ้น Undervalued คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC MINT BJC CPF
3. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้สงครามการค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนำ หุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการปรับลงของราคาน้ำมันและดอกเบี้ย ได้แก่ BCH CPALL CPAXT GULF MTC OR และ TRUE ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางตรงจากส่งออกไปสหรัฐ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้าเกษตร เครื่องประดับ และกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ นิคม ท่องเที่ยว ธนาคาร
DAILY TOP PICKS
PTT: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น และเป็นหนึ่งในเป้าหมายของกองทุน ThaiESGX หลังมี SET ESG Ratings “AAA” อีกทั้งปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตเด่น 44%YoY และมีฐานะการเงินแกร่ง สามารถจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 68 สูงราว 6.7% ทั้งนี้แนะนำราคาซื้อเก็งกำไรวันนี้ไม่เกินหุ้นละ 31.25 บาท
KTB: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากงบ 1Q68 กลุ่มธนาคารที่ประกาศออกมาแล้วอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และเป็นหนึ่งในเป้าหมายของกองทุน ThaiESGX หลังมี SET ESG Ratings “AAA” ขณะที่ปี 2568 แม้คาดกำไรจะหดตัว 3%YoY แต่ยังมีศักยภาพจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอในอัตราสูง โดยคาดให้ Div. Yield ปี 68 สูงราว 7%
ข่าวเด่น