เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Special Report : ทรัมป์ต่อเวลาเส้นตายถึง 1 ส.ค. ไทยเตรียมเสนอลดเกินดุลการค้ากับสหรัฐ หลีกเลี่ยงโดนเก็บภาษี 36%


จ่าหน้าซองมายังประเทศไทยแล้ว สำหรับจดหมายเรียกเก็บภาษีของทรัมป์ ที่ไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงถึง 36% ดังเดิม หลังจากที่การเดินทางเข้าไปเจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐก่อนหน้านั้นไม่เป็นผล ทำให้ไทยต้องจัดทำข้อเสนอชุดใหม่ เพื่อต่อรองอัตราภาษีให้เหลือต่ำสุด 10 - 20% ด้วยการเสนอลดการเกินดุล และเปิดตลาดซื้อสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นโดยลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% ก่อนเส้นตายการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวจะมีผล 1 ส.ค. 2568 นี้
 
8 ก.ค. 2568 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้มีการเผยแพร่จดหมายแจ้งอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจาก 14 ประเทศ โดยขยับเส้นตายการบังคับใช้ภาษีออกไปเป็นวันที่ 1 ส.ค. 2568 ซึ่งประเทศไทยจะโดนเรียกเก็บภาษีในอัตราเดิมที่สูงถึง 36% หลังจากที่ทางรัฐบาลไทยได้เข้าไปเจรจากับ จามีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ก่อนหน้านี้แต่ยังไม่สามารถปิดดีลได้ เพราะทางเกรียร์เปิดเผยว่า สหรัฐให้ความสำคัญต่อความสมดุลของความสัมพันธ์ทางการค้า และการส่งออกสินค้าสหรัฐไปยังตลาดใหม่ ตามนโยบาย America First เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐ อย่างการลดการขาดดุลทางการค้า และปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศตัวเอง
 
โดย ไทย จัดว่าอยู่ในกลุ่ม 10 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐมากที่สุดในโลก (ปัจจุบัน ไทยมีการเกินดุลสหรัฐอยู่ที่ 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทำให้หากโดนเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าด้วยอัตราสูงถึง 36% จริง ก็จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะเศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยการส่งออกสินค้าเป็นหลัก โดยทางกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สหรัฐเป็นตลาดส่งออกเบอร์หนึ่งของไทย หรือคิดเป็นสัดส่วน 18.3% ดังนั้นหนทางแก้เกมเพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับสหรัฐ จึงตกไปอยู่ที่การเปิดตลาดให้สินค้าจากสหรัฐเข้ามายังไทยมากขึ้น และลดภาษีนำเข้า 0% เพื่อสร้างดุลทางการค้าระหว่างสองฝ่าย
 
โดยทางนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าทีมเจรจาภาษี ส่งข้อเสนอใหม่ให้สหรัฐพิจารณาเมื่อวันที่ 6 ก.ค. 2568 ด้วยการเสนอว่าไทยจะเปิดตลาดสำหรับสินค้าจากสหรัฐ ทั้งเพิ่มการซื้อสินค้าในหมวดสินค้าเกษตร พลังงาน(โดยเฉพาะก๊าซ LNG และก๊าซอีเทน) รวมถึงเครื่องบินโบอิ้งในจำนวนสูงขึ้น เพื่อเป้าหมายในการลดการเกินดุลการค้าต่อสหรัฐ 70% ภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างสมดุลทางการค้าระหว่างประเทศได้ภายใน 7 - 8 ปี
 
ขณะเดียวกันยังมีความกังวลเกี่ยวกับสินค้าภาคการเกษตร ที่อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวไทย เพราะแม้ทรัมป์จะมีจุดยืนหลักที่ต้องการฟื้นฟูให้สหรัฐกลับมาเป็นประเทศแห่งอุตสาหกรรมการผลิตที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง ตามแนวคิด Make America Great Again ไม่ใช่ประเทศแห่งการเกษตร ซึ่งขัดแย้งกับภาพลักษณ์ของประเทศมหาอำนาจ แต่อย่างไรก็ตาม ภาคการเกษตรของสหรัฐถือได้ว่ามีศักยภาพสูง และสามารถผลิตสินค้าทางการเกษตรได้ในปริมาณมาก ซึ่งทางรัฐบาลสหรัฐก็ยังต้องการตลาดใหม่ ๆ เพื่อส่งออกสินค้าในหมวดดังกล่าว ดังนั้นหากไทยรับซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐ เช่น ข้าวโพด หรือข้าวสาลี ที่มีราคาถูก (เพราะผลิตได้มากต้นทุนถูก และไทยลดอัตราภาษีนำเข้าเป็น 0%) เพื่อลดการเกินดุล อาจส่งผลกระทบกับเกษตรกร และภาคปศุสัตว์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมจำนวน 20 ล้านราย ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง แต่กลับกันก็อาจทำให้อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เช่น ธุรกิจอาหารสัตว์ ทำต้นทุนได้ดีขึ้น สร้างกำไรได้มากขึ้น และทำให้มูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์มีการเติบโตมากขึ้น จากปัจจุบันที่ไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก
 
ซึ่งทางรัฐบาลโดยทีมเจรจาดังกล่าว ชี้แจงว่าจะมีการปกป้องเศรษฐกิจไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐ ซึ่งการเปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐ ฝ่ายไทยจะเน้นนำเข้าสินค้าในกลุ่มที่ยังขาดแคลนหรือผลิตไม่ได้ในประเทศ เพื่อไม่ให้กระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการไทย และจะสร้างข้อตกลงในลักษณะที่ได้ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งอาจจะไม่มีการลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% ในทุกสินค้าทุกรายการ และการต่อรองอัตราภาษีนำเข้าไปยังสหรัฐ คาดว่าจะให้เหลือต่ำสุดในกรอบ 10 - 20%
 
นอกจากนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์ มีการวางแผนเยียวยาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้จากการเจรจาภาษีกับสหรัฐในหลายแนวทาง โดยหนึ่งในนั้น คือ กองทุนเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากที่รัฐบาลกันเงินสำรองไว้ราว 10,000 ล้านบาท จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้วเมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 09 ก.ค. 2568 เวลา : 10:24:32
11-07-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (10 ก.ค.68) บวก 192.34 จุด รับข้อมูลแรงงานสดใส

2. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (10 ก.ค.68) บวก 4.70 เหรียญ กังวลภาษีทรัมป์แห่ซื้อทองสินทรัพย์ปลอดภัย

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (11 ก.ค.68) บวก 17.31 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,127.71 จุด

4. พยากรณ์อากาศวันนี้ (11 ก.ค.68) ภาคเหนือ ฝนตกหนัก 80% ภาคอีสาน-ภาคใต้ ฝั่ง ตต. 70% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก 60% ภาคใต้ ฝั่ง ตอ. 40%

5. ทองเปิดตลาดวันนี้ (11 ก.ค. 68) ปรับขึ้น 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,150 บาท

6. ตลาดหุ้นไทยเปิด (11 ก.ค. 68) บวก 8.98 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,119.38 จุด

7. MTS Gold คาดราคาทองคำทางเทคนิคยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway โดยมีแนวรับอยู่ที่ 3,300 เหรียญและแนวต้านที่ 3,350 เหรียญ

8. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.55-32.80บาท/ดอลลาร์

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (11 ก.ค.68) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 32.59 บาทต่อดอลลาร์

10. ประกาศ กปน.: 17 ก.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนศรีนครินทร์ตัดถนนหนามแดง-บางพลี

11. ประกาศ กปน.: 19 ก.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนประเสริฐมนูกิจ

12. ตลาดหุ้นปิด (9 ก.ค.68) ลบ 5.25 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,110.40 จุด

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (9 ก.ค.68) ลบ 4.05 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,111.60 จุด

14. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 3,290 เหรียญ และ 3,340 เหรียญ

15. ทองเปิดตลาดวันนี้ (9 ก.ค.68) ลดลง 200 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 51,800 บาท

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ July 11, 2025, 2:01 pm