
ประเทศไทย ณ ช่วงเวลานี้ กำลังเผชิญเข้ากับความท้าทายรอบด้าน ทั้งระเบียบการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจากมาตรการภาษีสหรัฐ การเมืองในประเทศ หรือจะเป็นปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านก็ตาม ล้วนแล้วแต่ส่งกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในทางตรงและทางอ้อม ที่ไทยเสี่ยงจะเป็นประเทศที่มีการเติบโตช้าสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยปีนี้คาดว่า GDP ไทยจะเติบโตเพียง 1.8% - 2.3% ลากยาวไปจนถึงปี 2569 ที่คาดว่าจะโตต่ำไม่ถึง 2% เสียด้วยซ้ำ
ทางสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ รายงานว่า GDP ไทยไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2568 ขยายตัวอยู่ที่ 3.2% และ 2.8% ชะลอตัวลงตามลำดับ ซึ่งนับว่าสวนทางกับประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่ ที่ต่างรายงานว่า GDP มีการปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 โดยพิจารณาจากประเทศคู่แข่งทางการค้าอย่างอินโดนีเซีย รายงานการขยายตัว GDP ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 5.1% เพิ่มขึ้นจากระดับ 4.9% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนเวียดนามก็เปิดเผยว่า GDP ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 7.96% เพิ่มขึ้นจากระดับ 7% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่มาเลเซียมีการเติบโตอยู่ที่ 4.4% เท่าเดิมทั้ง 2 ไตรมาส
ส่วนการคาดการณ์ GDP สำหรับทั้งปี 2568 ประเทศไทยก็ยังนับว่ามีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำที่สุดในอาเซียน แม้ทางสภาพัฒน์จะปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่เป็นค่ากลางอยู่ที่ 2.0% (เฉลี่ยในกรอบ 1.8% - 2.3%) จากประมาณการก่อนหน้านี้ที่ 1.8% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนของรายจ่ายภาครัฐ การบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น และการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน แต่ก็ยังรั้งท้ายสุด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวียดนาม ที่ทาง World Bank มีการคาดการณ์ว่า GDP ของประเทศดังกล่าวในปี 2568 จะเติบโตถึง 6.8% ขณะที่รัฐบาลเวียดนามประเมินว่าจะเติบโต 8.3% - 8.5% เลยทีเดียว เนื่องจากตอนนี้เวียดนามมีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 10% ของ GDP หรือคิดเป็นมูลค่าราว 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อดันให้ GDP โต 8% ต่อปี ซึ่งแผนดังกล่าวเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจากเดิมที่พึ่งพาการส่งออกและลงทุน FDI เป็นการพึ่งพาการเติบโตภายในประเทศแทน
โดยโมเดลนี้นับว่าเป็นการปรับเปลี่ยนที่เรียกได้ว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพราะการพึ่งพาการส่งออก และ FDI มีความเปราะบางจากปัจจัยยภายนอกอย่างมาก จากตัวอย่างที่เห็นไปแล้วในกรณีมาตรการทางภาษีของทรัมป์ ที่ประเทศไหนมีการพึ่งพาต่างประเทศเป็นหลัก ก็จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรง เฉกเช่นประเทศไทย ที่คล้ายกับเวียดนามเป็นอย่างมาก กล่าวคือเป็นประเทศที่มีภาคเศรษฐกิจขนาดเล็กและต้องพึ่งพาต่างประเทศในระดับสูง จากทั้งทางภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และ FDI ที่เป็นตัวแปรสำคัญให้กับตัวเลข GDP ของไทย ซึ่งเมื่อพิจารณาตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากภาคการลงทุนภาคเอกชนที่หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง การโดนเรียกเก็บภาษีในอัตราที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐ ปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชา หรือความไม่มั่นคงทางการเมือง ที่มีผลต่อการออกและดำเนินนโยบายของภาครัฐ ทั้งหมดนี้ก็เป็นตัวสะท้อนชั้นดีว่า ไทยเรายังติดหล่มอยู่กับโครงสร้างทางเศรษฐกิจในแบบเดิม ที่พึ่งพาเม็ดเงินจากต่างชาติเป็นหลัก แต่ในตอนนี้เศรษฐกิจของโลกก็ไม่นับว่าสู้ดี จากระเบียบการค้าที่ถูก Reset ใหม่ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศของตัวเองเป็นอันดับแรกก่อน
ทางธนาคารโลกเอง ก็ยังเคยประเมินว่าอัตราการเติบโตตามศักยภาพของไทยจะลดลงจากค่าเฉลี่ย 3.2% ในช่วงปี 2554 - 2564 เหลือเพียง 2.7% ในช่วงปี 2565 - 2573 หากไม่มีการปฎิรูปนโยบายอย่างเร่งด่วน และไม่ดำเนินการให้สำเร็จ ซึ่งเราก็คงต้องฝากความหวังให้การเมืองประเทศนิ่งกว่านี้ มีเสถียรภาพกว่านี้ เพื่อให้แผนการลงทุนถูกหยิบยกมาดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เลื่อนออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอย่างที่ทำอยู่ในตอนนี้
ข่าวเด่น