เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB CIO ชี้โอกาสลงทุนท่ามกลางแรงกดดันเศรษฐกิจโลกจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ พอร์ตหลักเน้นหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน All-Shares ส่วนพอร์ตเสริมแนะหุ้นเกาหลีใต้และธีม AI


SCB CIO แลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับ BlackRock มองเศรษฐกิจโลกยังเผชิญแรงกดดันจากการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่หนุนเงินเฟ้อสหรัฐฯ ท่ามกลางตลาดแรงงานของสหรัฐฯที่เริ่มชะลอลง จึงเพิ่มความท้าทายต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed โดยมอง Fed มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยได้ 1-2 ครั้งในปีนี้ ขณะที่ ประเทศต่างๆ ยังคงเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านนโยบายการคลัง ส่งผลให้ Bond Yield ระยะยาวของตราสารหนี้โลกมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ส่วนกระแสลงทุนในธีม AI ยังมีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว SCB CIO แนะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีของสหรัฐฯ ในระยะสั้นถึงกลาง เลี่ยงลงทุนในพันธบัตรระยะยาวจากปัญหาหนี้สาธารณะ และการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯที่ หนุน UST Yield ระยะยาวเพิ่มขึ้น ด้านตลาดหุ้น แนะนำลงทุนในพอร์ตหลัก ได้แก่  หุ้นสหรัฐฯ หุ้นจีน All-Share หุ้นอินเดีย และทองคำ  ส่วนพอร์ตเสริม แนะนำลงทุนในหุ้นเกาหลีใต้  จีน H-Share หุ้นกลุ่ม Nasdaq 100  และกลุ่มเทคโนโลยีโลกที่เกาะกระแส AI สอดคล้องกับ BlackRock ที่เล็งเห็นโอกาสในการลงทุนระยะยาว บนตลาดหุ้นที่อยู่ในธีม Mega Forces โดยมีสินทรัพย์สหรัฐฯ เป็นแกนหลักของพอร์ต รวมถึงโอกาสในการลงทุนหุ้นอินเดีย

 
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากมุมมองการลงทุนที่ SCB CIO แลกเปลี่ยนกับ BlackRock ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก พบว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและการค้าโลก มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันจากการที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศคู่ค้าต่างๆ ในอัตราตั้งแต่ 10-50% และมีแผนเก็บภาษีนำเข้าตามกลุ่มสินค้า (Section 232) ซึ่งส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าโดยเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ ท่ามกลางตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 1.04 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ตลาดคาด เพิ่มความท้าทายต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)  โดยตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ โดยมีโอกาสลดดอกเบี้ย 25 bps ในการประชุมเดือน ก.ย. นี้

ในส่วนของ SCB CIO คาดว่า Fed มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 1-2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ และอาจผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้น หากตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณที่ชะลอลงชัดเจน แต่การปรับนโยบายอาจไม่รวดเร็วหรือยืดหยุ่นเท่าที่ควร โดยเฉพาะหากเงินเฟ้อยังสูง และยังมีแรงหนุนจากค่าแรงที่เติบโตต่อเนื่อง อีกทั้ง ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนด้านภาษีนำเข้าสหรัฐฯอยู่

ขณะที่ คาดว่า ประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น มีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นทางการคลัง และขาดดุลงบประมาณเพิ่มสูงขึ้น โดยในส่วนของสหรัฐฯ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในกฎหมาย One Big Beautiful Bill (OBBBA) ซึ่งมีสาระสำคัญ ได้แก่ การขยายการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมสำหรับประกันสังคม เพิ่มเพดานการหักลดหย่อนภาษีมลรัฐและท้องถิ่น (SALT) ให้สิทธิประโยชน์ภาษีสำหรับทิปและค่าล่วงเวลา และเพิ่มข้อกำหนดการใช้จ่ายด้าน Medicaid เป็นต้น ซึ่งสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) คาดว่า OBBBA จะเพิ่มหนี้สาธารณะอีก 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ใน 10 ปีข้างหน้า จากเดิมมีหนี้สะสม 36 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ ภาระดอกเบี้ยจ่ายรายเดือนของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ.ตั้งแต่ต้นปี  ทั้งนี้ OBBBA ยังรวมถึงการเพิ่มเพดานหนี้อีก 5 ล้านล้านดอลลาร์  สรอ. ซึ่งอาจเพิ่มความสามารถในการก่อหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ไปอีกกว่า 2 ปี 

ส่วนอีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ กรณีที่ ประธานาธิบดี ทรัมป์ ลงนามบังคับใช้กฎหมาย GENIUS Act รับรองให้ stablecoin ใช้ชำระราคาได้ โดยมีเงื่อนไข คือ ผู้ออก stablecoin ต้องถือสินทรัพย์สำรอง 100% ในรูปสินทรัพย์สภาพคล่องดอลลาร์ สรอ. ที่คุณภาพสูง ซึ่งรวมถึง พันธบัตรสหรัฐฯ อายุไม่เกิน 93 วัน (T-bills) โดยคาดว่า หาก stablecoin ถูกใช้ในวงกว้าง จะหนุนการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ และอุปทานบน T-bill ซึ่งผลโดยสุทธิ คาดช่วยกดดัน UST yield ตัวสั้น และช่วยบรรเทาปัญหาขาดดุลงบประมาณในสหรัฐฯ แม้ว่า ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น อาจเพิ่มขึ้น ก็ตาม 

ส่วนประเด็นการคลังในยุโรปนั้น คณะรัฐมนตรีเยอรมนีได้อนุมัติร่างงบประมาณปี 2569 ภายใต้กรอบการคลังถึงปี 2572 โดยตั้งเป้าการลงทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ควบคู่กับแผนกู้ยืมเพิ่มเป็น 3.8% ของ GDP เพื่อขับเคลื่อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และเสริมศักยภาพกลาโหม วงเงินใช้จ่ายรวม 520.5 พันล้านยูโร โดยเพิ่มการลงทุน 10% จากปี 2568 และ 55% จากปี 2567 โดย SCB CIO คาดการใช้จ่ายการคลังของเยอรมนีที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจยุโรป แม้อาจทำให้อัตราผลตอบพันธบัตรเยอรมนีระยะยาวเพิ่มสูงขึ้นจากการขาดดุลการคลัง

สำหรับคำแนะนำการลงทุนในเดือน ส.ค. 2568 ในส่วนของตราสารหนี้นั้น SCB CIO แนะนำลงทุนบนพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดี ระยะสั้นถึงกลาง ของสหรัฐฯ ซึ่งยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีและช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้ แต่หลีกเลี่ยงพันธบัตรระยะยาว เนื่องจาก ส่วนชดเชยความเสี่ยงจากการลงทุนในพันธบัตรระยะยาว (Term premium) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามปัญหาหนี้สาธารณะ และการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ที่หนุนให้ UST Yield ตัวยาวเพิ่มขึ้น 

ในส่วนของตลาดหุ้น แนะนำลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในพอร์ตหลัก จากการที่คาดว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนบน S&P500 ในปี 2568-2569 มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น ตามการเติบโตของบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 7 แห่งในตลาด (Mag 7) การผ่อนคลายกฎระเบียบ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ หากรับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง แนะนำลงทุนเพิ่มเติม ดัชนี Nasdaq 100 และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโลก ในพอร์ตเสริมระยะสั้น เนื่องจาก มีหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับ AI ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการที่สหรัฐฯ ออก AI Action Plan เน้นการลดข้อจำกัดทางกฎระเบียบเพื่อเร่งการพัฒนา AI ของสหรัฐฯ ประกอบกับผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลรายใหญ่ในสหรัฐฯ (Hyperscalers) เช่น Meta, Microsoft, Alphabet และ Amazon ยังเพิ่มงบลงทุนบน AI อย่างต่อเนื่อง ส่วนผลประกอบการของบริษัทผู้ผลิตชิป เช่น TSMC และ SK Hynix ก็บ่งชี้ให้เห็นถึงการเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ SCB CIO ยังแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น จากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ลดลงจากก่อนหน้า นโยบายการคลังที่ผ่อนคลายขึ้น และการปฏิรูปบรรษัทภิบาลที่คืบหน้า ตลาดหุ้นจีน All-share จากความหวังข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน  และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากได้รับผลกระทบต่อเศรษฐกิจจำกัดจากนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ บนพอร์ตหลัก รวมทั้ง แนะนำลงทุนบนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เนื่องจากมูลค่าที่ไม่แพง และคาดว่า EPS มีโอกาสเติบโต 16.6% ในปีนี้ และบนตลาดหุ้นจีน H-share จากความคืบหน้าของกระแส AI ในจีน บนพอร์ตเสริม ส่วนตลาดหุ้นไทย มองว่า ความน่าสนใจในการลงทุนน้อยกว่าตลาดหุ้นประเทศอื่น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบด้านภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ส่วนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย ยังมีแนวโน้มถูกปรับประมาณลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในปีนี้อีก 1 ครั้ง เป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทย ขณะเดียวกัน แนะนำให้ถือทองคำในพอร์ตหลัก เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ด้วย 

หมายเหตุ : เอกสารนี้จัดทำขึ้น ณ วันที่ 20 ส.ค. 2568

คำเตือน 
• การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน 
• สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 21 ส.ค. 2568 เวลา : 16:19:20
24-08-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (22 ส.ค.68) บวก 8.60 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,253.39 จุด

2. MTS Gold คาดว่าราคาจะอยู่ในกรอบระหว่างแนวรับที่ระดับ 3,325 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 3,350 เหรียญ

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (22 ส.ค.68) บวก 9.98 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,254.77 จุด

4. พยากรณ์อากาศวันนี้ (22 ส.ค.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก" ฝนตกหนัก 70% ภาคอื่นๆ 60%

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (21 ส.ค.68) ร่วง 152.81 จุด กังวลพาวเวลส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงิน

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (21 ส.ค.68) ลบ 6.9 เหรียญ เหตุดอลลาร์แข็งค่า-ตลาดจับตาถ้อยแถลงพาวเวล

7. ทองเปิดตลาดวันนี้ (22 ส.ค. 68) ปรับขึ้น 50 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,350 บาท

8. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (22 ส.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.67 บาทต่อดอลลาร์

9. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.55-32.75บาท/ดอลลาร์

10. ตลาดหุ้นไทยเปิดวันนี้ (22 ส.ค.68) บวก 2.97 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,247.76 จุด

11. เติมด่วน! พรุ่งนี้น้ำมันเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ปรับขึ้น 40 สต./ลิตร เว้น E85 คงเดิม

12. ตลาดหุ้นปิด (21 ส.ค.68) ลบ 3.34 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,244.79 จุด

13. MTS Gold คาดราคาทองคำยังคงอยู่ในช่วงระหว่างแนวรับ 3,325 เหรียญ และ 3,360 เหรียญ หากราคาอ่อนตัวลงยังคงแนะนำให้เข้าซื้อเพื่อสะสม

14. แผ่นดินไหว 5.4 นอกชายฝั่งเมียนมา กรุงเทพฯ รับรู้แรงสั่นหลายพื้นที่

15. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (21 ส.ค.68) ลบ 2.13 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,246.00 จุด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ August 24, 2025, 9:34 pm