เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บมจ.ไทยออยล์วิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ "ราคาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรง รวมถึงมาตราการการคว่ำบาตร"


ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 63-73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

 
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (12 ก.ย. – 18 ก.ย. 68)

ราคาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจและความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ โดยตลาดจับตามองถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะประกาศในช่วงวันที่ 16-17 ก.ย. เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ เผชิญความกดดันจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังคงอ่อนแอ ทั้งนี้ ตลาดยังคงจับตามองถึงการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรระยะที่สองของสหรัฐฯ ต่อรัสเซีย ที่ยังไม่มีความคืบหน้าการเจรจาสันติภาพ นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งทั้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงรัสเซียและยูเครนที่ทวีความรุนแรงขึ้น สร้างความกังวลและความตึงเครียดต่อตลาด แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงดูท่าทีของสหรัฐฯ ต่ออินเดียที่มีแนวโน้มคลายความตึงเครียดหลังจะมีการพบปะของทั้งสองประเทศในเร็ววันนี้ 

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้
 
• ตลาดยังคงจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่อาจบานปลายและยกระดับขึ้นหลังจากกองทัพโปแลนด์รายงานการยิงทำลายโดรนของรัสเซีย ที่ล่วงล้ำเขตน่านฟ้าโปแลนด์ โดยทางการโปแลนด์มองว่านี่คือการกระทำที่คุกคามต่อความปลอดภัยของพลเมืองในประเทศ ทั้งนี้ โปแลนด์เป็นสมาชิกของพันธมิตรนาโต ซึ่งเป็นสนธิสัญญาป้องกันประเทศข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่สหรัฐฯ มีส่วนร่วม โดยยึดหลักการที่ว่าการโจมตีประเทศใดประเทศหนึ่งคือการโจมตีประเทศอื่นทั้งหมด โดยโปแลนด์ยังได้ประกาศเตรียมความพร้อมสูงสุดเพื่อรับมือการรุกรานจากกองทัพรัสเซีย ซึ่งสร้างความกังวลต่อประชาคมโลก และอุปทานน้ำมันดิบ

• สหรัฐฯ เริ่มมีการพูดคุยและเตรียมที่จะดำเนินมาตรการคว่ำบาตรระยะที่สอง (second phase of sanctions) ต่อรัสเซีย เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ต่อนักข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ก.ย. จากการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ของรัสเซียต่อยูเครน โดยจะมีการพิจารณาการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรระยะที่สองเพื่อเป็นการกดดันรัสเซียให้เข้าสู่โต๊ะการเจรจารสันติภาพอีกครั้ง ภายหลังไม่มีความคืบหน้าในเรื่องสันติภาพหลังการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ตลาดกังวลต่ออุปทานน้ำดิบที่อาจตึงตัว และกังวลถึงผลกระทบต่อนโยบายภาษีสหรัฐฯ หากมีการขยายมาตรการลงโทษทางอ้อม (Secondary sanctions) นอกเหนือจากประเทศอินเดีย 

• สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากอิสราเอลเปิดฉากโจมตีโดยหวังสังหารผู้นำกลุ่มฮามาส รวมถึง นายคาลิล อัล-ไฮยา หัวหน้าคณะเจรจาหยุดยิงในสงครามฉนวนกาซาในกรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ทั้งนี้ กาตาร์เป็นผู้ไกล่เกลี่ยหลักในการเจรจาหยุดยิงในฉนวนกาซา และเป็นช่องทางในการสื่อสารโดยตรงกับสหรัฐฯ อิสราเอล และกลุ่ม       ฮา-มาส โดยการโจมตีดังกล่าวของอิสราเอล สร้างความไม่พอใจต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ แม้จะทราบล่วงหน้าจากอิสราเอลบางส่วน รวมถึงกาตาร์เองที่ประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยและการก่อการร้ายรัฐ อย่างไรก็ตาม   การโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้ เป็นการเพิ่มความตึงเครียดต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และยิ่งเพิ่มอุปสรรคต่อความพยายามในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง อีกทั้งยังสร้างความกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่อาจเกิดภาวะหยุดชะงักได้ หากความตึงเครียดลามไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง

• ตลาดจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 ก.ย. นี้ โดยตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย ภายหลังตัวเลขทางเศรษฐกิจในภาคแรงงานของสหรัฐฯ อันได้แก่  ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานของสหรัฐฯ และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งประกาศออกมาก่อนหน้านี้สะท้อนถึงความอ่อนแอของภาคเศรษฐกิจ ประกอบกับถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา โดยคาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและหนุนต่อความต้องการใช้น้ำมัน
 
• ตลาดจับตามองความสัมพันธ์และการดำเนินการทางภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ กับอินเดีย อีกครั้ง เนื่องจากมีแนวโน้มคลายความตึงเครียด จากการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย จะมีการพบปะเพื่อดำเนินการเจรจาแนวทางการแก้ไขปัญหากำแพงการค้าระหว่างสองประเทศ แต่อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมที่จะเข้าร่วมกับสหภาพยุโรปในการกำหนดและดำเนินนโยบายภาษีนำเข้าครั้งใหม่ต่ออินเดียและจีน จากการซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซีย ซึ่งอินเดียเป็นผู้ซื้อน้ำมันดิบรายใหญ่จากรัสเซีย เพื่อกดดัน นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียให้เข้าร่วมโต๊ะการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยก่อนหน้าสหรัฐฯได้ดำเนินการภาษีนำเข้าต่ออินเดียอยู่ที่ 50% 
 
• ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ เดือน ส.ค. 68 ได้แก่ ดัชนียอดขายปลีก และดัชนีภาคการผลิตอุตสาหกรรม ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ ดัชนีภาคการผลิตอุตสาหกรรม เดือน ก.ค. และดัชนีราคาผู้บริโภค เดือน ส.ค. และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนเดือน ส.ค. 68  ได้แก่ อัตราการว่างงาน

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (5 ก.ย. – 11 ก.ย. 68)
 
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 1.65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 62.56 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 1.65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 66.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากมีรายงานว่าอิสราเอลโจมตีผู้นำกลุ่มฮามาสในกรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความกังวลต่อความเสี่ยงด้านอุปทานในตะวันออกกลาง ขณะที่สถานการณ์ยุโรปตะวันออกทวีความตึงเครียด จากการเกิดการปะทะระหว่างโดรนติดอาวุธของรัสเซียกับกองทัพอากาศโปแลนด์ จากกรณีการล่วงล้ำน่านฟ้าโปแลนด์ของรัสเซีย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวอาจลุกลามไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียและกลุ่มนาโต้โดยตรง ทั้งนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงท่าทีพร้อมปรับขึ้นภาษีต่อจีนและอินเดีย รวมถึงใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมเพื่อกดดันให้รัสเซียกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาสันติภาพ อย่างไรก็ตาม สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบโลกมีแนวโน้มปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 4 ปี 2568เนื่องจากการเพิ่มกำลังการผลิตของ OPEC+ ที่เริ่มยกเลิกการปรับลดกำลังการผลิต 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยจะปรับเพิ่มกำลังการผลิต 137,000 บาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือน ต.ค. 68 ถึง ก.ย. 69 ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังทั่วโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 และมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องถึงปีหน้า

 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 15 ก.ย. 2568 เวลา : 14:08:07
17-09-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (17 ก.ย.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 31.67 บาทต่อดอลลาร์

2. ทองเปิดตลาดวันนี้ (17 ก.ย. 68) ลดลง 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 56,100 บาท

3. ตลาดหุ้นไทยเปิด (17 ก.ย. 68) บวก 2.46 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,310.65 จุด

4. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.60-31.85 บาท/ดอลลาร์

5. ประกาศ กปน.: ด่วนมาก!!! คืนวันนี้ 16 ก.ย. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนราชพฤกษ์

6. ตลาดหุ้นปิด (16 ก.ย.68) บวก 8.41 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,308.19 จุด

7. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (16 ก.ย.68) บวก 6.60 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,306.38 จุด

8. MTS Gold คาดราคาทองคำจะมีแนวรับอยู่ที่ 3,660 เหรียญ และแนวต้านอยู่ที่ 3,700 เหรียญ

9. ตลาดหุ้นวันนี้ 16 ก.ย. 68 บวกขึ้น 6.37 จุด หรือ 0.49% อยู่ที่ 1,306.15 จุด

10. ทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $32.6 ทำนิวไฮ บอนด์ยีลด์ร่วง-ดอลล์อ่อนหนุนตลาด

11. ดาวโจนส์ ปิดบวก 49.23 จุด หลังเจรจาการค้าราบรื่น จับตาประชุมเฟด

12. ราคาทองวันนี้ ปรับเพิ่ม 450 บาท ราคาทองรูปพรรณ บาทละ 56,150 บาท

13. พยากรณ์อากาศวันนี้ ฝนตกหนักบางแห่งกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่

14. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.70-31.95 บาท/ดอลลาร์

15. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (16 ก.ย.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 31.82 บาทต่อดอลลาร์

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 17, 2025, 11:19 am