เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EIC วิเคราะห์ "ธุรกิจโรงไฟฟ้าปี 2569 กลุ่มพลังงานหมุนเวียนเติบโตเด่น ขณะที่โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลถูกผลักดันให้เร่งปรับตัวเพื่อผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ"


 
ปริมาณการใช้ไฟฟ้าผ่านระบบของการไฟฟ้าฯ ของไทยในปี 2569 จะเติบโตเพียงเล็กน้อยที่ 0.3%YOY ก่อนที่จะเติบโตเร่งขึ้นเฉลี่ยราว 2.9% ต่อปีในช่วงปี 2570–2572 ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตในระดับต่ำ โดยคาดว่า GDP จะขยายตัวเพียง 1.5% ในปี 2569 และเฉลี่ย 2.3–2.5% ต่อปีในช่วง 2570–2572 ขณะเดียวกัน การใช้ไฟฟ้านอกระบบ หรือไฟฟ้าที่ผลิตเพื่อใช้เองโดยไม่ผ่านโครงข่ายของการไฟฟ้าฯ จะเติบโตสูงกว่าชัดเจน โดยคาดว่าในปี 2569 จะเพิ่มขึ้น 2.4% และเฉลี่ย 3.3% ต่อปีในช่วงปี 2570–2572 จากความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรมที่หันมาใช้ระบบ SPP Direct (ผู้ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในพื้นที่นิคมฯ ขายไฟฟ้าโดยตรงให้ผู้ใช้ไฟฟ้าโดยใช้สายส่งไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าเอง) และ IPS-Renewable (ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าใช้เองจากพลังงานแสงอาทิตย์ Solar rooftop หรือพลังงานชีวมวลและก๊าซชีวภาพ) มากขึ้น จากการติดตั้ง Solar rooftop และการทำ Private PPA (ซื้อไฟฟ้าสะอาดโดยตรงจากผู้ผลิตโดยใช้สายส่งไฟฟ้าของตนเองหรือผู้ผลิตไฟฟ้า) ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
 

 
 
ค่าไฟฟ้าโดยเฉลี่ยทั้งปี 2569 คาดว่าจะปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ราว 3.93 บาทต่อหน่วย ตามนโยบายลดค่าครองชีพของครม. อนุทิน เนื่องจากต้นทุนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติที่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2568 รวมถึงการใช้ Claw back ที่ได้จากการไฟฟ้าฯ มาชำระคืนหนี้บางส่วนโดยขยายเวลาคืนหนี้ส่วนที่เหลือออกไปก่อน ส่วนในปี 2570-2572 คาดว่าจะทยอยลดลงมาอยู่ในช่วง 3.7-3.85 บาทต่อหน่วย สอดคล้องกับต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มลดลง จาก 1) ต้นทุนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ (จากแหล่ง JKM ที่ไทยนำเข้า) จะลดลงมาอยู่ที่ 11.3 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ MMBTU ในปี 2569 และคาดว่าจะทยอยลดลงเหลือ 8.7 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ MMBTU ในปี 2572 2) ค่าเงินบาทที่คาดว่าจะแข็งค่าที่ราว 31.6-32.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี 2569-2572 และ 3) สัดส่วนการนำเข้าก๊าซฯ ที่สูงขึ้นจาก 40% ในปี 2569-2570 เป็น 50% ในปี 2571-2572 ขณะเดียวกัน การประเมินค่าไฟฟ้าของรัฐ คาดว่าจะยังคงตรึงค่าไฟฟ้าให้อยู่ในระดับต่ำไม่เกินกว่า 3.94 บาทต่อหน่วย โดยคาดว่าจะมีการใช้เงิน Claw back ที่เรียกคืนจากการไฟฟ้าฯ และมีการขยายเวลาชำระหนี้ส่วนหนี้ที่เหลือของ กฟผ. และ ปตท. 
 

 
 
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนโดยรวมในไทยในปี 2569 และในช่วงปี 2570-2572 มีแนวโน้มขยายตัว จากแผนติดตั้งโรงไฟฟ้าเพื่อผลิตเข้าระบบไฟฟ้าตามสัญญาในปี 2569 รวม 1,103 MW ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 52,000 ล้านบาท ส่วนในระยะกลาง ปี 2570-2573 มีแผนผลิตไฟฟ้าตามสัญญาที่จะผลิตราว 1,200-1,600 MW ต่อปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการลงทุนราว 43,000-56,000 ล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมจากรอบการรับซื้อ Big lot1 ที่ 5.2 GW และ lot2 ที่ 2.1 GW อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาและติดตามที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน อาทิ การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใหม่และการจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ รวมถึงนโยบายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ส่งผลต่อภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ อาทิ การส่งเสริมโซลาร์รูฟท็อป, Private PPA , Third party access (TPA) และ Direct PPA สำหรับ Data center และไฟฟ้าสะอาดสำหรับธุรกิจอื่น ๆ ที่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องกำหนดการของภาครัฐที่จะเปิดให้ใช้ไฟฟ้าสะอาดผ่าน Direct PPA รวมถึงขั้นตอนการสมัคร

 
 
นัยต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า 3 ประการ ที่จะสอดรับไปกับการเติบโตของอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่ 1) ส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันโดยลดต้นทุนโครงการและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า เพื่อเตรียมพร้อมนโยบายการปรับลดราคารับซื้อจากภาครัฐในอนาคต อาทิ การขยายความร่วมมือกับ Technology provider สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานลม และระบบกักเก็บพลังงาน 2) พัฒนาโครงการหรือมีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ไฟฟ้าสำหรับ AI & Cloud Data center และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น 3) ขยายโอกาสทางธุรกิจการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่สามารถรองรับ Third Party Assessment (TPA) และ Direct PPA ได้ในอนาคต โดยเตรียมความพร้อมเรื่องการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าใหม่เพื่อให้สามารถเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ทันทีหลังจากมีการอนุญาต TPA และ Direct PPA

 
บทบาทภาครัฐอย่างน้อย 3 ประการ ที่จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net zero) ในปี 2593 (2050) ได้แก่ 1) เร่งอนุญาต Third Party Assessment (TPA) และ Direct PPA สำหรับธุรกิจทุกประเภทที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสะอาด แบบค่อยเป็นค่อยไปในระยะแรก เช่น เริ่มจากผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งเป็นขอบเขตที่สามารถบริหารจัดการได้ เป็นต้น 2) จัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ให้สอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าในประเทศและพัฒนาการด้านเทคโนโลยี ตลอดจนเป้าหมาย Net zero 2593 (2050) ของประเทศโดยมีแนวทาง ดังนี้ 
 
• ตรวจสอบความเหมาะสมของสมมุติฐานที่ใช้ในการจัดทำแผน PDP อย่างสม่ำเสมอ เช่น แนวโน้ม GDP ของประเทศ ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการผลิตไฟฟ้าใช้เองที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 
 
• กำหนดกรอบสัดส่วนประเภทของโรงไฟฟ้า โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและพัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับศักยภาพของประเทศ 
 
• จัดทำแผนจากประมาณการ การผลิตไฟฟ้าโดยคำนึงถึงการเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าสะอาดในระยะยาวตามเป้าหมาย Net zero ในปี 2593 (2050) 
 
 
3) เร่งส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าใช้เองในภาคอุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ เช่น เร่งประกาศราชกิจจาฯ ลดภาษี 200,000 บาทสำหรับส่งสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป และเร่งจัดทำระบบ One-stop service สำหรับการขออนุญาตติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในภาคอุตสาหกรรม*

อ่านต่อบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม... https://www.scbeic.com/th/detail/product/power-sector-141025

 
ผู้เขียนบทวิเคราะห์ :  จิรวุฒิ อิ่มรัตน์ นักวิเคราะห์อาวุโสศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) SCB EIC Online : www.scbeic.com Line : @scbeic
 

บันทึกโดย : วันที่ : 17 ต.ค. 2568 เวลา : 13:05:29
19-10-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (17 ต.ค.68) ลบ 16.85 จุด ดัชนี 1,274.61 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (17 ต.ค.68) ลบ 7.25 จุด ดัชนี 1,284.21 จุด

3. MTS Gold คาดราคาทองคำประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับ 4,200 เหรียญ และมีแนวต้าน 4,260 เหรียญ

4. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.40-32.55 บาท/ดอลลาร์

5. พยากรณ์อากาศวันนี้ (17 ต.ค.68) ภาคใต้ ฝนฟ้าคะนอง 60-70% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคเหนือ-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก 40% ภาคอีสาน 30%

6. ตลาดหุ้นไทยเปิด (17 ต.ค.68) ลบ 8.22 จุด ดัชนี 1,283.24 จุด

7. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (16 ต.ค.68) ร่วง 301.07 จุด กังวลความอ่อนแอธนาคารภูมิภาคในสหรัฐ

8. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (16 ต.ค.68)พุ่ง 103 เหรียญ ทะลุ 4,300 ดอลลาร์ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย-เก็งเฟดลดดอกเบี้ย

9. ทองเปิดตลาดวันนี้ (17 ต.ค. 68) พุ่งขึ้นแรง 1,600 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 67,700 บาท

10. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (17 ต.ค.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์

11. ตลาดหุ้นปิด (16 ต.ค.2568) บวก 4.77 จุด ดัชนี 1,291.46 จุด

12. ประกาศ กปน.: 21 ต.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำประชานุกูล

13. ประกาศ กปน.: 21 ต.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนพุทธมณฑลสาย 1

14. MTS Gold คาดราคาทองยังคงอยู่ในสภาวะ Bullish (ขาขึ้น) ที่แข็งแกร่ง ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับ 4,200 เหรียญ และมีแนวต้าน 4,260 เหรียญ

15. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (16 ต.ค.68) บวก 4.08 จุด ดัชนี 1,290.77 จุด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 19, 2025, 1:16 pm