เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
จับตาแผนลงทุนรัฐวิสาหกิจไทย 1.6 ล้านล้านบาท ท่ามกลางมุมมองระมัดระวัง FDI ไทยพุ่งแรงกว่า 125% - EBC ชี้ "คุณภาพการดำเนินงาน" คือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนกระแสการลงทุน


 
คณะรัฐมนตรีของไทยได้อนุมัติวงเงินงบลงทุนมูลค่า 1.6 ล้านล้านบาท สำหรับรัฐวิสาหกิจ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ประเมินว่าแผนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มอัตราการขยายตัวของ GDP ได้ราว 0.3% ในปี 2026 การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปี 2025 ถูกปรับให้อยู่ในช่วง 2% ถึง 2.2% หลังจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ปรับลดประมาณการ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจปรับลดได้หากมีความจำเป็น นอกจากนี้ แผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจยังดำเนินควบคู่กับโครงการอุดหนุนผู้บริโภคมูลค่า 44,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง

ซามูเอล เฮิร์ตซ์ หัวหน้าฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของ EBC Financial Group กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และความแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งภาคการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1.6 ล้านล้านบาท ร่วมกับท่าทีของธนาคารกลางที่พร้อมผ่อนคลายนโยบายจากระดับดอกเบี้ย 1.50% ถือเป็นมาตรการตอบสนองเชิงรอบเศรษฐกิจที่มีความน่าเชื่อถือ แต่สิ่งสำคัญคือ การดำเนินงานต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วและตรงจุด โดยโครงการต่าง ๆ ควรตอบโจทย์ข้อจำกัดด้านศักยภาพของประเทศ”

ความท้าทาย: การประสานนโยบายท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่หลากหลาย

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2025 ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 2.8% จาก 3.2% ในไตรมาสแรก โดยการบริโภคภาคเอกชนลดลงเหลือเพียง 2.1% แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึงสามครั้งในปีนี้ จาก 2.5% เหลือ 1.5% แต่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยตลอด 12 เดือน (ถึงกรกฎาคม 2025) ยังคงอยู่ที่ 0.5% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่เพียง 0.9% ในช่วงเดียวกัน ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และทรงตัวอยู่บริเวณ 32.5 บาทต่อดอลลาร์ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาวะ“สองความเร็ว (Two-Speed Economy)” โดยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้นกว่า 125% คิดเป็นมูลค่ากว่า 225.5 พันล้านบาท ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2025 ขณะที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังคงกดดัน ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออกและภาคการท่องเที่ยว เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค

ซามูเอล เฮิร์ตซ์ หัวหน้าฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของ EBC Financial Group กล่าวว่า “การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือเท่านั้น การผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างระมัดระวังให้สอดคล้องกับการเบิกจ่ายงบประมาณที่ตรงเวลา จะช่วยสนับสนุนสภาพคล่องโดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพของค่าเงิน ขณะนี้เครื่องยนต์ภาคการค้าของไทยกำลังปรับตัวเข้าสู่โลกที่มีส่วนต่างกำไรแคบลง การเติบโตของการส่งออกในไตรมาสที่สองที่ขยายตัวในอัตราสองหลัก ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งคำสั่งซื้อก่อนถึงกำหนดเก็บภาษีนำเข้า ดังนั้นแรงส่งของเศรษฐกิจในระยะต่อไปจะต้องอาศัยการวางตำแหน่งเชิงคุณภาพ มากกว่าการพึ่งพาวัฏจักรเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว”

เกณฑ์แห่งความสำเร็จ: ปัจจัยชี้วัดการดำเนินงาน

กรอบการลงทุนของรัฐวิสาหกิจมูลค่า 1.6 ล้านล้านบาทที่เพิ่งได้รับอนุมัติ พร้อมด้วยโครงการอุดหนุนผู้บริโภคมูลค่า 44,000 ล้านบาท ถูกออกแบบมาเพื่อพยุงอุปสงค์ในช่วงต้นปี 2026 ควบคู่กับการเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะกลาง อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของแผนดังกล่าวขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ความรวดเร็วในการเบิกจ่ายงบประมาณ ความสามารถของการใช้จ่ายในการแก้ปัญหาคอขวดทางศักยภาพจริงของประเทศ และศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนภาคเอกชนมาร่วมขับเคลื่อนการเติบโตเพิ่มเติม

ซามูเอล เฮิร์ตซ์ หัวหน้าฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของ EBC Financial Group กล่าวว่า “การลงทุนภาครัฐที่มุ่งขจัดข้อจำกัดและยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ถือเป็นกลไกที่สร้างผลคูณทางเศรษฐกิจได้อย่างทรงพลัง ความแตกต่างระหว่างการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตกับการกระตุ้นอุปสงค์ระยะสั้น เป็นประเด็นสำคัญที่ภาครัฐต้องให้ความสำคัญ การลงทุนที่ช่วยลดต้นทุนธุรกิจ เร่งกระบวนการดำเนินงาน และเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน จะสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนกว่า ทั้งนี้ ความชัดเจนของแผนโครงการและการเบิกจ่ายที่ทันเวลา จะเป็นปัจจัยชี้ขาดว่า ประเทศไทยจะสามารถบรรลุเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 0.3% ได้มากเพียงใด”

ประเด็นสำคัญ: การรักษาแรงขับเคลื่อนของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)

วิธีที่รัฐวิสาหกิจนำเงินลงทุนจำนวนนี้ไปใช้ จะเป็นสัญญาณสำคัญต่อนักลงทุนต่างชาติ ว่าประเทศไทยยังคงมีสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่มั่นคงและน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือว่าพวกเขาควรหันไปลงทุนในเวียดนามและประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ในภูมิภาคแทน ในขณะที่ ความได้เปรียบด้านราคากำลังลดลงจากการแข็งค่าของเงินบาท ความสามารถในการแข่งขันของไทยจึงขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ความชัดเจนของกฎระเบียบ และคุณภาพของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ มากกว่าปัจจัยด้านต้นทุนเพียงอย่างเดียว

ซามูเอล เฮิร์ตซ์ หัวหน้าฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของ EBC Financial Group กล่าวเสริมว่า “ธุรกิจที่สามารถแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน จะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอานิสงส์จากค่าเงิน ขณะที่การแข่งขันในภูมิภาคกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น คุณภาพของการดำเนินงานจะเป็นปัจจัยสำคัญที่แยกผู้ชนะออกจากผู้ตาม”

โอกาสเชิงกลยุทธ์: การวางตำแหน่งเพื่ออนาคต

การลงทุนของรัฐวิสาหกิจยังเปิดโอกาสเชิงกลยุทธ์ในการวางตำแหน่งประเทศในระยะยาว รายงานวิเคราะห์จากหลายสถาบันระดับนานาชาติ รวมถึงการประเมินล่าสุดของธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่า การลงทุนเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถ (capacity-building) สามารถสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน การลดต้นทุนการดำเนินงาน และการเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน (supply-chain resilience) จะช่วยสร้างเงื่อนไขเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งตอบสนองต่อมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่นักลงทุนและพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้น

ซามูเอล เฮิร์ตซ์ หัวหน้าฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของ EBC Financial Group กล่าวสรุปว่า “การใช้เงินทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นนโยบายอุตสาหกรรมที่สร้างประโยชน์โดยตรงต่อภาคการส่งออก การคัดเลือกโครงการอย่างโปร่งใส การดำเนินงานที่รวดเร็ว และการวัดผลที่ชัดเจน จะช่วยวางรากฐานให้ประเทศไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น ผู้ผลิตของไทยสามารถยกระดับสู่ตลาดพรีเมียมในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น เทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) ได้ แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่า เงินลงทุนมูลค่า 1.6 ล้านล้านบาท จะถูกนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใดในวันนี้ เพราะสิ่งนั้นจะเป็นตัวกำหนด ‘ความสามารถในการแข่งขัน’ ของประเทศไทยในวันพรุ่งนี้”

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: บทความนี้สะท้อนมุมมองของ EBC Financial Group (SVG) LLC และมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น มิใช่คำแนะนำด้านการเงินหรือการลงทุน การซื้อขายสัญญาส่วนต่าง (CFD) และอัตราแลกเปลี่ยน (FX) มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนเริ่มต้นทั้งหมดหรือมากกว่า โปรดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน EBC Financial Group และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากการอ้างอิงข้อมูลนี้ 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 17 ต.ค. 2568 เวลา : 17:59:30
19-10-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (17 ต.ค.68) ลบ 16.85 จุด ดัชนี 1,274.61 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (17 ต.ค.68) ลบ 7.25 จุด ดัชนี 1,284.21 จุด

3. MTS Gold คาดราคาทองคำประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับ 4,200 เหรียญ และมีแนวต้าน 4,260 เหรียญ

4. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.40-32.55 บาท/ดอลลาร์

5. พยากรณ์อากาศวันนี้ (17 ต.ค.68) ภาคใต้ ฝนฟ้าคะนอง 60-70% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคเหนือ-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก 40% ภาคอีสาน 30%

6. ตลาดหุ้นไทยเปิด (17 ต.ค.68) ลบ 8.22 จุด ดัชนี 1,283.24 จุด

7. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (16 ต.ค.68) ร่วง 301.07 จุด กังวลความอ่อนแอธนาคารภูมิภาคในสหรัฐ

8. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (16 ต.ค.68)พุ่ง 103 เหรียญ ทะลุ 4,300 ดอลลาร์ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย-เก็งเฟดลดดอกเบี้ย

9. ทองเปิดตลาดวันนี้ (17 ต.ค. 68) พุ่งขึ้นแรง 1,600 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 67,700 บาท

10. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (17 ต.ค.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์

11. ตลาดหุ้นปิด (16 ต.ค.2568) บวก 4.77 จุด ดัชนี 1,291.46 จุด

12. ประกาศ กปน.: 21 ต.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำประชานุกูล

13. ประกาศ กปน.: 21 ต.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนพุทธมณฑลสาย 1

14. MTS Gold คาดราคาทองยังคงอยู่ในสภาวะ Bullish (ขาขึ้น) ที่แข็งแกร่ง ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับ 4,200 เหรียญ และมีแนวต้าน 4,260 เหรียญ

15. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (16 ต.ค.68) บวก 4.08 จุด ดัชนี 1,290.77 จุด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 19, 2025, 1:14 pm