เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Special Report : สหรัฐกลับมาทดสอบนิวเคลียร์ในรอบ 33 ปี จุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์โลก ผลักดันการเกิดสงครามครั้งใหม่


 

สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลกทุกการขยับตัวจริง ๆ สำหรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ที่เมื่อสิ้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการประกาศว่าตัวเขาเองได้สั่งการให้กระทรวงสงคราม (กระทรวงกลาโหม) ทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ทันทีในระดับเท่าเทียมกับประเทศอื่น โดยเป็นผลพวงมาจากการที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ได้มีประกาศความสำเร็จเรื่องการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ก่อนหน้านี้ โดยผลที่ตามมาหลังทรัมป์ประกาศก็คือ ความผันผวนของราคาตลาดทองคำ ที่กลับมาฟื้นตัวทันทีหลังจากการประกาศของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ได้ย่อตัวลงไป ซึ่งเป็นสัญญาณหนึ่งของความเป็นไปได้ว่า “สงครามครั้งสำคัญของโลก” อาจเข้ามาใกล้ตัวเรายิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
 
ผู้อ่านหลายคนอาจมีความสงสัยว่า กับแค่การทดสอบนิวเคลียร์มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ? เพราะอย่างประเทศเกาหลีเหนือเองก็ชอบขู่นานาชาติเรื่องนิวเคลียร์ของตัวเองมาหลายสิบปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีอะไร คือพวกเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า บริบทระหว่างสองประเทศนี้แตกต่างกันมาก เพราะสหรัฐคือประเทศมหาอำนาจที่มีภาพลักษณ์ในด้านการรักษาสันติภาพของโลก (แม้ว่าบางประเทศจะไม่คิดเช่นนั้น) ผ่านบทบาทองค์กรระหว่างประเทศและการทูตที่มีสถานภาพเป็นผู้คุมกติกา หรือก็คือพี่ใหญ่อย่างที่เราเข้าใจกันในการตัดสินดำขาวเรื่องความขัดแย้งต่าง ๆ
 
แต่ประเด็นก็คือ สหรัฐไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจเพียงประเทศเดียว แต่ยังมีรัสเซียและจีน เป็นขั้วอำนาจฝ่ายตรงข้าม หรือคู่แข่งที่คอยคานอำนาจของสหรัฐตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเย็นตามลำดับ ซึ่งความขัดแย้งตลอดมาที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรมนี้ ทำให้สงบลงได้บ้างด้วยการจำกัดกรอบว่าจะไม่ขัดแย้งจนเกินเลยกันในระดับสงครามที่ใช้นิวเคลียร์เป็นอาวุธด้วยสนธิสัญญาห้ามการทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ (CTBT) ที่ได้มีการลงนามร่วมกันเมื่อปี ค.ศ. 1996 รวมถึงประเทศอื่น ๆ ในโลกก็ลงนามด้วย (ยกเว้น อินเดีย ปากีสถาน และเกาหลีเหนือ) ทำให้ที่ผ่านมาหลังสนธิสัญญา จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ที่แต่ละประเทศมีนั้นได้กลายเป็นความลับ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งก็ทำให้เกิดการเฝ้าระวัง ทดสอบอำนาจลองเชิงกันไปมาโดยมีเส้นบาง ๆ ของสนธิสัญญาดังกล่าวขวางกั้นไว้อยู่
 
แต่การที่รัสเซียได้เพิกถอนการให้สัตยาบัน CTBT อย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 2023 และในเดือน ต.ค. ของปีนี้ที่ผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ นั้น รัสเซียได้จัดการซ้อมรบที่มีการประกาศความสำเร็จในการทดสอบตอร์ปิโดพลังงานนิวเคลียร์ ที่ชื่อว่า “โพไซดอน” ซึ่งใช้กับโดรนใต้น้ำไร้คนขับ และยังมีการประกาศความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธร่อนพลังงานนิวเคลียร์รุ่นใหม่ที่ชื่อ “บูเรเวสต์นิก” อีกด้วย แม้ว่ายังไม่ใช่การทดสอบหัวรบนิวเคลียร์ (ที่สร้างความเสียหายระดับมหาศาลกับพื้นที่ขนาดใหญ่) แต่ก็เป็นการยกระดับความพร้อมทางทหารและส่งสัญญาณทางการเมืองในช่วงเวลาเดียวกับที่สหรัฐได้คว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรัสเซียก่อนหน้านี้
 
แน่นอนว่าผู้นำสหรัฐอย่างทรัมป์ ที่มีสไตล์การดำเนินการทางการเมืองเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้โต้ตอบรัสเซียด้วยการประกาศไปยังทั่วโลกว่า สหรัฐจะมีการกลับมาทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ หลังจากหยุดไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 (หลังสงครามเย็นจบ) หรือ เมื่อ 33 ปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลว่า เนื่องจากมีโครงการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศอื่น ๆ เกิดขึ้น เราจึงต้องเริ่มทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของเราอย่างเท่าเทียมกัน โดยมีการสั่งการให้ทางกระทรวงสงครามเริ่มต้นกระบวนการดังกล่าวในทันที พร้อมกับยังโพสต์เสริมลงโซเชียลมีเดียอีกด้วยว่าสหรัฐ เป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์มากกว่าประเทศอื่น โดยระบุว่า รัสเซียอยู่อันดับ 2 และจีนอยู่เป็นอันดับ 3
 
โดยการประกาศทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ดังกล่าวของสหรัฐ เทียบได้กับสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ทางทหารและการเมืองระดับโลก เพราะสิ่งนี้คือเครื่องมือที่ใช้ในการขู่และการต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่สหรัฐก็คงไม่นิ่งดูดายมองรัสเซียทำการข่มขวัญอยู่ฝ่ายเดียว แต่การที่สหรัฐ “กลับมาทดสอบอีกครั้ง” การกระทำนี่เท่ากับว่า สหรัฐผู้รักษาสันติภาพของโลกแห่งศตวรรษนี้ กำลังฉีกสนธิสัญญา CTBT จากที่ปฏิบัติตามโดยสมัครใจมาตลอดกว่า 30 ปี แม้ยังไม่ได้ให้สัตยาบันก็ตาม
 
ผลที่ตามมาก็คือ “กติกาโลกเรื่องนิวเคลียร์ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว” เพราะสหรัฐฆ่าสนธิสัญญานี้โดยพฤตินัย ทำให้ประเทศอื่นจะยกเลิกการให้สัตยาบัน จนสนธิสัญญาดังกล่าวจะกลายเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มีผลจริง ส่วนประเทศที่ไม่เคยลงนามเลย ก็อาจจะใช้โอกาสนี้กระทำการข่มขวัญประเทศฝ่ายตรงข้ามของตนเองอย่างเต็มที่มากขึ้น ทำให้สุดท้ายทั้งโลกมีโอกาสเข้าสู่ยุค “สงครามเย็น 2.0” ที่ประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศพันธมิตร NATO อย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือยุโรปตะวันตก ได้รับแรงกดดันจนต้องเริ่มพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเองเพื่อ “ป้องกันตัว” จากภัยไม่แน่นอนในอนาคต
 
ดังนั้นการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ จึงไม่ใช่การลองยิงดูเล่น ๆ แต่เป็นการส่งสัญญาณข่มขวัญเชิงสัญลักษณ์ ที่นำไปสู่การยกเลิกกติกาโลกที่ควบคุมความสงบสุขตลอดมา ผลก็คือทำให้ต่างฝ่ายต่างเริ่มหวาดระแวงซึ่งกันและกันว่าวันดีคืนดีฝ่ายศัตรูอาจทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่ประเทศตัวเองก็ได้ จึงเกิดการแข่งขันสะสมอาวุธ (Arms Race) รอบใหม่ รวมถึงการสะสมทองคำที่มากขึ้นในตลาดโลกจากความกังวลด้านสงครามที่อาจปะทุขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีนักวิชาการหลายคนมองว่า ทรัมป์อาจใช้ข่าวการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์มากระตุ้นราคาทองคำโลก หลังจากผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ ทำให้ราคาทองคำร่วงหลุด 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ ไปก่อนหน้านี้

LastUpdate 05/11/2568 18:40:37 โดย : Admin
06-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (6 พ.ย.68) บวก 9.78 จุดดัชนี 1,305.07 จุด

2. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (5 พ.ย.68) บวก 225.76 จุด รับผลประกอบการ-ข้อมูลเศรษฐกิจ สดใส

3. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (5 พ.ย.68) บวก 32.4 ดอลลาร์ นักลงทุนแห่ซื้อทองเลี่ยงความเสี่ยงฟองสบู่ตลาดหุ้น

4. พยากรณ์อากาศวันนี้ (6 พ.ย.68) ภาคใต้ ฝนฟ้าคะนอง 60% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคเหนือ-ภาคอีสาน-ภาคตะวันออก 20% ภาคกลาง 10% ?พายุคัลแมกี?เคลื่อนเข้าปกคลุม จ.อุบลฯ 7 พ.ย.

5. ทองเปิดตลาดวันนี้ (6 พ.ย. 68) ปรับขึ้น 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 61,950 บาท

6. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (6 พ.ย.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์

8. MTS Gold คาดราคาทองคำรอปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนเพื่อรอการเลือกทางประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 3,960-3,930 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,000-4,020 เหรียญ

9. ตลาดหุ้นไทยเปิด (6 พ.ย.68) บวก 7.51 จุด ดัชนี 1,302.80 จุด

10. ตลาดหุ้นปิด (5 พ.ย.68) ลบ 3.31 จุด ดัชนี 1,295.29 จุด

11. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (5 พ.ย.68) ลบ 2.67 จุด ดัชนี 1,295.93 จุด

12. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.45-32.70 บาท/ดอลลาร์

13. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (4 พ.ย.68) ร่วง 251.44 จุด หลังแบงก์ใหญ่เตือนตลาดหุ้นเสี่ยงเข้าสู่ภาวะปรับฐาน 10-20%

14. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (4 พ.ย.68) ร่วง 53.50 เหรียญ เหตุดอลลาร์แข็งค่าทุบตลาด

15. MTS Gold ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 3,920-3,900 เหรียญ และแนวต้านที่ 3,980-4,000 เหรียญ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 6, 2025, 3:49 pm