เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ "ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ตั้งข้อสงสัยภาษีทรัมป์ภายใต้ IEEPA เกินอำนาจกฎหมาย...คาดทรัมป์ยังเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าภายใต้มาตราอื่นๆ"


เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2568 คดีภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนของศาลสูงสุดสหรัฐฯ โดยผู้พิพากษาส่วนใหญ่ตั้งข้อสงสัยต่อการที่ทรัมป์ใช้อำนาจตามกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ในการเก็บภาษีนำเข้าในวงกว้างว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการจัดเก็บภาษีนำเข้าภายใต้กฎหมายดังกล่าวกำลังถูกพิจารณาอย่างเข้มงวด โดยคาดว่าคำตัดสินของศาลฯ จะประกาศได้อย่างช้าที่สุดในเดือนมิ.ย. 2569 ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดวาระการพิจารณาคดีของศาลฯ

ในช่วงระหว่างนี้ก่อนจะมีคำตัดสินจากศาลฯ ภาษีดังกล่าวจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป โดยภาษีดังกล่าวครอบคลุมถึง 

1) ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่เรียกเก็บในอัตราภาษี 10-50% กับคู่ค้าของสหรัฐฯ
2) ภาษีเฟนทานิล ที่เรียกเก็บจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา 
3) ภาษีลงโทษ (Punitive Tariff) ที่เรียกเก็บจากอินเดียและบราซิล 
4) ภาษีสินค้าส่งผ่าน (Transshipment Tariff) ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม

ในกรณีที่ศาลฯ มีคำตัดสินว่าการเก็บภาษีตามกฎหมาย IEEPA ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และถูกระงับและยกเลิก จะมีนัยต่อทิศทางการค้าและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดังนี้ 

• จำกัดอำนาจของประธานาธิบดีอย่างมีนัยสำคัญในด้านนโยบายการค้า โดยจะเป็นการเน้นย้ำว่าประธานาธิบดีไม่ได้มีอำนาจในการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าโดยการอ้างเหตุภาวะฉุกเฉินระดับชาติได้ ซึ่งการกำหนดภาษีเป็นหน้าที่หลักของสภาคองเกรสตามรัฐธรรมนูญ

• เปิดทางให้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ ยื่นขอคืนภาษีมูลค่าเกือบ 9 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ หรือคิดเป็นราว 5% ของการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2568 (จากข้อมูลของศุลกากรสหรัฐฯ) (รูปที่ 1) ซึ่งหากรัฐบาลสหรัฐต้องคืนภาษีดังกล่าวอาจส่งผลให้การขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น ภายใต้รายได้ภาครัฐที่มีแนวโน้มลดลงอยู่แล้วจากการปรับลดภาษีตามมาตรการ One Big Beautiful Bill (OBBA)

• อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนทางการค้าโลกยังคงมีอยู่ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ อาจหันไปใช้กฎหมายการค้าอื่นๆ แทน เช่น มาตรา 232 ที่ให้อำนาจเก็บภาษีสินค้านำเข้าโดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ มาตรา 301 ที่ใช้ตอบโต้ประเทศที่มีการค้าที่ไม่เป็นธรรม มาตรา 201 (safeguard) ที่ให้อำนาจเก็บภาษีหรือตั้งโควตาชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti-Dumping: AD) และ การอุดหนุนจากต่างประเทศ (Countervailing Duties: CVD) ที่มุ่งลงโทษสินค้านำเข้าที่ขายต่ำกว่าต้นทุนจริงหรือได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่างประเทศ ส่งผลให้ความตึงเครียดทางการค้ายังคงมีอยู่ อย่างไรก็ตาม การประกาศบังคับใช้มาตรการดังกล่าวอาจใช้ระยะเวลายาวนานกว่าการประกาศใช้ตามกฎหมาย IEEPA

สำหรับผลกระทบต่อไทย หากศาลฯ มีคำสั่งระงับและยกเลิกการจัดเก็บภาษีนำเข้าภายใต้กฎหมาย IEEPA จะมีผลต่อไทยผ่านภาษี Reciprocal tariff ที่ถูกจัดเก็บในอัตรา 19% ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนราว 50% ของมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่องพิมพ์  อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารสัตว์ ข้าว เป็นต้น ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ก็จะได้รับอานิสงส์เช่นกัน โดยเฉพาะจีนที่อัตราภาษีจะลดลงเหลือ 27.6% จากเดิมที่ 47.6% ส่งผลให้สินค้าบางประเภทของไทยที่เคยได้ประโยชน์จากอัตราภาษีภายใต้ IEEPA ที่ต่ำกว่าจีน เช่น เครื่องปรับอากาศ อาจสูญเสียความได้เปรียบดังกล่าวไป

อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกของไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงจากการถูกเก็บภาษีภายใต้มาตรา 232 ในระยะข้างหน้า โดยสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันยังได้รับการยกเว้นภาษีฯ มีมูลค่าราว 30–35% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยไปยังสหรัฐฯ ซึ่งในหลายรายการมีความเสี่ยงที่จะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมภายใต้มาตรา 232 อาทิ วงจรรวม ไดโอด และทรานซิสเตอร์ ที่อยู่ในกลุ่มสินค้ากึ่งตัวนำ (semiconductors) ซึ่งสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาและไต่สวนการจัดเก็บภาษีภายใต้มาตรา 232 สำหรับสินค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาเช่นกัน เช่น เครื่องจักรกลอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ในระยะต่อไป
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 06 พ.ย. 2568 เวลา : 19:38:35
07-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (7 พ.ย.68) ลบ 1.36 จุดดัชนี 1,311.95 จุด

2. พยากรณ์อากาศวันนี้ (7 พ.ย.68) "พายุคัลแมกี" อ่อนกำลัง จ่อเข้าโขงเจียม อุบลฯ บ่ายวันนี้ ส่งผลฝนฟ้าคะนองในภาคอีสาน-ภาคใต้ ฝั่ง ตต. 70% ภาคกลาง -ภาคตะวันออก-ภาคใต้ ฝั่ง ตอ. 60% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคเหนือ 40%

3. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (6 พ.ย.68) ลบ 1.9 ดอลลาร์ แต่แนวโน้มยังแกร่งจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

4. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (6 พ.ย.68) ร่วง 398.70 จุด กังวลฟองสบู่ AI แตก-ศก.ไม่แน่นอน

5. MTS Gold คาดราคาทองคำมีแนวรับที่ 60,600 บาท และแนวต้านที่ 61,600 บาท

6. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.25-32.50บาท/ดอลลาร์

7. ทองเปิดตลาดวันนี้ (7 พ.ย. 68) ลดลง 50 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 62,150 บาท

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (7 พ.ย.68) ลบ 4.41 จุด ดัชนี 1,308.90 จุด

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (7 พ.ย.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์

10. ตลาดหุ้นปิด (6 พ.ย.2568) บวก 18.02 จุด ดัชนี 1,313.31 จุด

11. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (6 พ.ย.68) บวก 9.78 จุดดัชนี 1,305.07 จุด

12. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (5 พ.ย.68) บวก 225.76 จุด รับผลประกอบการ-ข้อมูลเศรษฐกิจ สดใส

13. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (5 พ.ย.68) บวก 32.4 ดอลลาร์ นักลงทุนแห่ซื้อทองเลี่ยงความเสี่ยงฟองสบู่ตลาดหุ้น

14. พยากรณ์อากาศวันนี้ (6 พ.ย.68) ภาคใต้ ฝนฟ้าคะนอง 60% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคเหนือ-ภาคอีสาน-ภาคตะวันออก 20% ภาคกลาง 10% ?พายุคัลแมกี?เคลื่อนเข้าปกคลุม จ.อุบลฯ 7 พ.ย.

15. ทองเปิดตลาดวันนี้ (6 พ.ย. 68) ปรับขึ้น 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 61,950 บาท

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 7, 2025, 5:19 pm