เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Krungthai Compass วิเคราะห์ "ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร Q3/2568 หดตัว คาดส่งออกปี 69 อาจหดตัวจากภาษีตอบโต้และการแข่งขันในตลาดคู่ค้าที่สูงขึ้น"


 
• มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 13,121 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.2 แสนล้านบาท) หดตัว -2.8%YoY หลังจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 4.0%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และสิ่งปรุงรสอาหาร ส่วนสินค้าสำคัญที่ขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง ไก่ อาหารสัตว์เลี้ยง และน้ำตาลทราย

• สำหรับสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ข้าว (-27.0%YoY) จากการระบายสต็อกข้าวของผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างอินเดีย ยางพารา (-21.4%YoY) จากการส่งออกไปจีนลดลง และราคาส่งออกยางพาราปรับตัวลดลงจากปริมาณผลผลิตยางพาราที่เพิ่มขึ้น มันสำปะหลัง (-9.3%YoY) จากราคาส่งออกที่ลดลงมาก ขณะที่อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (-4.9%YoY) และสิ่งปรุงรสอาหาร (-4.0%YoY) หลังแรงส่งจาก Front-loading หมดลง

• Krungthai COMPASS มองว่า ในปี 2569-2570 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยจะเผชิญปัจจัยกดดัน ได้แก่ 1. มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะกระทบต่อสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง รวมถึงสินค้าที่พึ่งพาตลาดจีนสูง และสินค้าที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน 2. การเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ของประเทศคู่ค้า อาจทำให้สินค้าไทยเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจทำให้สินค้าไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาด 3. เงินบาท    ที่มีแนวโน้มแข็งค่าอาจกดดันความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย 4. มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าที่เข้มงวดอาจทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น

การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 3 ปี 2568 หดตัว

ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 3 ปี 2568 หดตัว -2.8%YoY เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 4.0%YoY โดยการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 10% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัว -10.1%YoY จากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 2568 ทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าปรับตัวลดลงจากภาระภาษีที่สูงขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันด้านราคาที่สูงกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม ประกอบกับสต็อกของคู่ค้าในสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูง จากการเร่งนำเข้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มข้าวหอมมะลิ และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ส่วนการส่งออกไปตลาดจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 24% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 0.6%YoY จากการที่จีนเร่งนำเข้าจากไทยก่อนที่สหรัฐฯ จัดเก็บภาษีตอบโต้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน เช่น น้ำยางข้น อีกทั้งการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งไปจีนขยายตัวสูง เนื่องจากความร่วมมือของภาครัฐในการควบคุมและยกระดับคุณภาพ ทำให้ปัญหาด้านคุณภาพและมาตรฐานด้านความปลอดภัยอาหารของจีนคลี่คลายลง

ในรายละเอียด หมวดสินค้าเกษตรหดตัวต่อเนื่องที่ -4.2%YoY (สัดส่วนราว 55% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร) โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ข้าว (-27.0%YoY) จากการระบายสต็อกข้าวของผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างอินเดีย ที่กดดันทั้งปริมาณและราคาส่งออกข้าวไทย ขณะที่ยางพารา (-21.4%YoY) จากการส่งออกไปจีนลดลง และราคาส่งออกยางพาราปรับตัวลดลง เนื่องจากปริมาณผลผลิตยางพาราในไตรมาส 3 ปี 2568 เพิ่มขึ้นราว 2%YoY และมันสำปะหลัง (-9.3%YoY) จากราคาส่งออกที่ลดลงมากตามทิศทางราคาข้าวโพดจีน ส่วนกลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง (10.2%YoY) จากความต้องการบริโภคผลไม้เมืองร้อนของชาวจีนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และไก่ (4.0%YoY) จากความต้องการนำเข้าของตลาดส่งออกหลักที่เพิ่มขึ้น

ด้านหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรพลิกกลับมาหดตัว -1.2%YoY (สัดส่วนราว 45%) โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (-4.9%YoY) และสิ่งปรุงรสอาหาร (-4.0%YoY) หลังแรงส่งจาก Front-loading หมดลง ส่วนกลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย (17.2%YoY) จากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำในปี 2567

 
 
สถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในกลุ่มสินค้าสำคัญ

การส่งออกข้าวไตรมาส 3 หดตัวต่อเนื่อง

มูลค่าการส่งออกข้าวไตรมาส 3 ปี 2568 หดตัว  -27.0%YoY จากปริมาณการส่งออกข้าวโดยรวมที่หดตัว -13.7%YoY และราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยโดยรวมที่ลดลง -15.4%YoY โดยเฉพาะข้าวขาว 100% ที่มูลค่าการส่งออกลดลงถึง -53.0%YoY จากปริมาณการส่งออกที่ลดลง -38.5%YoY ประกอบกับราคาที่ลดลงราว -23.6%YoY จากการแข่งขันในตลาดส่งออกที่รุนแรงขึ้น ขณะที่มูลค่าการส่งออกข้าวขาว 5% ซึ่งเป็นข้าวส่งออกหลักของไทย แม้ว่าจะขยายตัว 12.8%YoY จากปริมาณการส่งออกที่ขยายตัว 61.4%YoY แต่ราคาส่งออกปรับลดลงถึง -35.1%YoY จากการกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้งของอินเดีย ที่เร่งระบายสต็อกปริมาณสูงตั้งแต่ช่วงกันยายน 2568 ส่วนมูลค่าการส่งออกข้าวหอมมะลิยังสามารถขยายตัวได้ที่ 4.7%YoY จากราคาส่งออกข้าวหอมมะลิปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.8%YoY แม้ว่าปริมาณการส่งออกจะหดตัวที่ -7.2%YoY จากผลกระทบของมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักในการส่งออกข้าวหอมมะลิ
 
 
 
 
การส่งออกยางพาราไตรมาส 3 หดตัวสูง

มูลค่าการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งไตรมาส 3 ปี 2568 หดตัวสูงถึง -25.7%YoY จากปริมาณการส่งออกที่หดตัว -26.6%YoY เนื่องจากการส่งออกไปจีนซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 32% ของการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งทั้งหมดของไทยหดตัว -19.5%YoY จากผลกระทบของมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ของสหรัฐฯ ในอัตรา 25% ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. 2568 ทำให้ความต้องการนำเข้ายางล้อในสหรัฐฯ ลดลง ส่งผลให้ความต้องการนำเข้ายางแผ่นและยางแท่งของจีนจากไทยเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางล้อส่งออกไปสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง

มูลค่าการส่งออกน้ำยางข้นไตรมาส 3 ปี 2568 ขยายตัว 0.3%YoY จากปริมาณการส่งออกที่ขยายตัว 8.1%YoY เนื่องจากการส่งออกไปจีนซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 25% ของการส่งออกน้ำยางข้นทั้งหมดของไทยขยายตัวสูงถึง 52.8%YoY จากการที่จีนเร่งนำเข้าน้ำยางข้นเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางส่งออกไปสหรัฐฯ แต่ราคาส่งออกน้ำยางข้นปรับตัวลดลง -7.2%YoY เนื่องจากความต้องการยางพาราที่ลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับปริมาณผลผลิตยางพาราในไตรมาส 3 ปี 2568 เพิ่มขึ้นราว 2%YoY จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย

 
 
 
การส่งออกมันสำปะหลังไตรมาส 3 หดตัว

มูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมดในไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  หดตัว -9%YoY โดยแบ่งเป็น 1. มูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดอยู่ที่ 199 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6,416 ล้านบาท) ขยายตัว 134%YoY ในแง่ปริมาณขยายตัวถึง 166%YoY เพราะฐานที่ต่ำในปีก่อน อีกทั้งคู่ค้าจีนกลับมานำเข้ามันเส้นและมันอัดเม็ดจากไทยอีกครั้งเนื่องจากราคาส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดที่ถูกลงจึงสามารถแข่งขันในตลาดจีนได้มากขึ้น อีกทั้งอุปสงค์เพื่อการผลิตเอทานอลในจีนเริ่มฟื้นตัวบางส่วน สำหรับราคาส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดหดตัว -12%YoY ตามทิศทางราคาข้าวโพดจีน (สินค้าทดแทน) ที่ปรับตัวลดลง  2. มูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังอยู่ที่ 467 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 15,086 ล้านบาท) หดตัว -27%YoY โดยในแง่ปริมาณหดตัว -19%YoY เพราะปริมาณสต็อกแป้งมันสำปะหลังในจีนซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของไทยยังอยู่ในระดับสูง ส่วนราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลังหดตัว -10%YoY จากการแข่งขันกับราคาแป้งข้าวโพดจีนที่ถูกกว่า

การส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งไตรมาส 3 ยังขยายตัว

มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ขยายตัว 10.2%YoY จากการส่งออกไปจีนซึ่งเป็นตลาดหลักขยายตัว 12.0%YoY1 โดยมูลค่าการส่งออกทุเรียนกลับมาขยายตัว 19.2%YoY ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความร่วมมือของภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมและยกระดับคุณภาพของสินค้า ทำให้ปัญหาด้านคุณภาพและมาตรฐานด้านความปลอดภัยของอาหารของจีนได้คลี่คลายลงมาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ขณะที่ราคาส่งออกเฉลี่ยทุเรียนสดของไทยไปจีนไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ยังหดตัว -13.1%YoY ส่วนหนึ่งจากผลผลิตทุเรียนของไทยที่เพิ่มขึ้น และไทยยังเผชิญการแข่งขันกับคู่แข่งอย่างมาเลเซีย เวียดนามและฟิลิปปินส์ที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับมูลค่าการส่งออกลำไย2 ขยายตัวถึง 24.6%YoY เนื่องจากผลผลิตลำไยออกสู่ตลาดมาก ประกอบกับความต้องการบริโภคผลไม้  เมืองร้อนของชาวจีนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 
 
 
1 มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งไปจีนเฉลี่ย 3 ปี (2565-2567) คิดเป็นสัดส่วน 88% ของการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งของไทย

2 มูลค่าการส่งออกทุเรียนเฉลี่ย 3 ปี (2565-2567) มีสัดส่วน 67% ของการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งทั้งหมดของไทย รองลงมา ได้แก่ ลำไย และมังคุด คิดเป็นสัดส่วน 11% และ 7% ของการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งของไทย ตามลำดับ

การส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปไตรมาส 3 ขยายตัวต่อเนื่อง

ภาพรวมมูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปไตรมาส 3 ปี 2568 ขยายตัว 4.0%YoY โดยเฉพาะไก่แปรรูปขยายตัว 5.4%YoY3 จากตลาดส่งออกหลักอย่างสหภาพยุโรปที่ขยายตัว 5.4%YoY เช่นเดียวกับราคาส่งออกไก่แปรรูปที่ขยายตัว 4.9%YoY เพราะความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร

อย่างไรก็ดี ราคาส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งที่ลดลง -4.7%YoY เนื่องจากผู้ส่งออกไทยต้องแข่งขันกับราคาภายในจีนที่ปรับตัวลดลงจากการขยายกำลังการผลิตภายในประเทศ โดยการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งไปจีนลดลง -34.3%YoY อีกทั้งยังเจอแรงกดดันจากกรณีจีนหันไปนำเข้าจากรัสเซียเพิ่มขึ้น (โดยเฉพาะส่วนตีนไก่)
 
 
3 มูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและไก่แปรรูปเฉลี่ย 3 ปี (2565-2567) คิดเป็นสัดส่วน 31% และ 69% ของมูลค่าส่งออกไก่ทั้งหมดของไทย ตามลำดับ

ทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ ในปี 2569-2570

ข้าว

• ข้าวไทยจะยังเผชิญแรงกดดันจากตลาดส่งออก ต่อเนื่อง ทั้งจากการเร่งระบายสต็อกข้าวของอินเดีย ความต้องการนำเข้าข้าวของคู่ค้าที่ลดลง เงินบาทที่แข็งค่า รวมถึงการที่สหรัฐฯ กดดันให้คู่ค้าเปิดเสรีนำเข้าข้าว เพิ่มความเสี่ยงไทยถูกแย่งตลาด และล่าสุดภาคเอกชนสหรัฐฯ ได้เสนอให้รัฐบาลขึ้นภาษีนำเข้าข้าวจากไทยสูงถึง 100% เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมข้าวในประเทศ าจกระทบการส่งออกข้าวหอมมะลิไทย เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักข้าวหอมมะลิของไทย โดยในปี 2567 ไทยส่งออกข้าวหอมมะลิไปสหรัฐฯ 0.63 ล้านตัน คิดเป็น 44% ของการส่งออกข้าวหอมมะลิทั้งหมด ส่วนการเจรจาส่งออกข้าวแบบ G2G ภายใต้ข้อตกลงใหม่ระหว่างไทยกับจีนและสิงคโปร์ แม้จะช่วยเปิดตลาดใหม่ แต่ปริมาณการค้ายังมีขนาดไม่มากเมื่อเทียบกับปริมาณการส่งออกข้าวทั้งหมดของประเทศ

• ในปี 2569 คาดว่า มูลค่าส่งออกข้าวไทยจะอยู่ที่ 2.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง -12.8%YoY จากปริมาณส่งออกข้าวที่ลดลงมาอยู่ที่ 7.0 ล้านตัน ลดลง -3%YoY จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยทำให้ผลผลิตข้าวโลกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หลายประเทศมีผ่อนคลายนโยบายด้านความมั่นคงทางอาหารลง เช่น การยกเลิกนโยบายควบคุมส่งออกข้าวของอินเดีย และการชะลอการนำเข้าข้าวของอินโดนีเซียส่งผลให้ราคาข้าวตลาดโลกปรับลดลง โดยคาดว่าราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทยจะอยู่ที่345-380 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลดลง 5-14%YoY ทำให้ผู้ประกอบการมีความเสี่ยงขาดทุนสต็อก 

• ส่วนในปี 2570 คาดว่า มูลค่าส่งออกข้าวไทยจะอยู่ที่ 2.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงต่อเนื่องที่ -0.1%YoY โดยในแง่ปริมาณการส่งออกข้าวอยู่ที่ 6.8 ล้านตัน ลดลง -3%YoY ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% จะอยู่ที่ 370-400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2565-67 ที่อยู่ที่ 526 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จากแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคาที่ต่ำกว่าของประเทศคู่แข่ง ทำให้โดยรวมปริมาณการส่งออกข้าวทั้ง 2 ปีนับว่าอยู่ในระดับต่ำหากเทียบกับในช่วงปี 2557-2561 หรือ ปี 2567 ที่เคยส่งออกได้เฉลี่ยปีละ 9-10 ล้านตัน

มันสำปะหลัง

• มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ คาดว่าจะกระทบทางตรงต่อธุรกิจมันสำปะหลังจำกัด เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดส่งออกมันสำปะหลังไปสหรัฐฯ เพียง 3-4% แต่ยังต้องติดตามผลกระทบทางอ้อมจากภาวะเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักที่ยังไม่ฟื้นตัว และปัญหาเชิงโครงสร้างจากการที่จีนมีนโยบายพึ่งพาตนเองในการผลิตเอทานอล (จากข้าวโพดในประเทศหรือถ่านหิน) ทำให้ความจำเป็นในการนำเข้าจากไทยน้อยลง อีกทั้งจีนยังไปลงทุนสร้างโรงงานแปรรูปและปลูกมันสำปะหลังในลาวมากขึ้น รวมถึงเวียดนามซึ่งเป็นคู่แข่งในสินค้ากลุ่มแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งมีต้นทุนการผลิตถูกกว่าไทย

• ในปี 2569-2570 ผลผลิตมันสำปะหลังคาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก แต่ยังต้องติดตามการระบาดของโรคใบด่างในบางพื้นที่ ส่วนการส่งออกแม้ว่าราคาส่งออกมันสำปะหลังไทยจะแข่งขันได้มากขึ้น จากต้นทุนวัตถุดิบหัวมันที่ต่ำกว่าในช่วงปี 2566-2568 แต่ยังต้องแข่งขันด้านราคากับราคาข้าวโพดในจีน เพราะผลผลิตข้าวโพดในจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 

• จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น คาดว่าในปี 2569 มูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดจะอยู่ที่ราว 807 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว - 2%YoY แม้ปริมาณส่งออกจะขยายตัว 2%YoY แต่ราคาส่งออกจะยังหดตัว -4%YoY ตามทิศทางราคาข้าวโพดจีนที่จะปรับลดลง ส่วนในปี 2570 คาดว่ามูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดจะอยู่ที่ 812 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 1%YoY เพราะราคาส่งออกจะลดลง -1%YoY แต่ปริมาณส่งออกจะขยายตัว 2%YoY แต่ระดับมูลค่าส่งออกในปี 2569-2570 จะยังเป็นระดับที่ต่ำ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยปี 2564-2568 ซึ่งจะอยู่ที่ราว 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

• ส่วนมูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังในปี 2569 จะอยู่ที่ราว 2,377 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -1%YoY ซึ่งเป็นผลจากราคาส่งออกที่ลดลงถึง -5%YoY แม้ปริมาณส่งออกจะขยายตัว 4%YoY และในปี 2570 คาดว่ามูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังจะอยู่ที่ 2,437 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว  3%YoY โดยแม้ราคาส่งออกจะลดลง -1%YoY แต่ปริมาณส่งออกจะขยายตัว 4%YoY

ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง

• สำหรับมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลไม้ของไทยไม่มากนัก เนื่องจากไทยส่งออกผลไม้ไปสหรัฐฯ เพียง 1.7% ของการส่งออกผลไม้ทั้งหมดของไทย อย่างไรก็ดี ตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยคิดเป็น 88% อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้สูง ซึ่งอาจทำให้ความต้องการนำเข้าผลไม้เพื่อบริโภคมีแนวโน้มลดลง

• ในปี 2569-70 คาดว่า มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งจะอยู่ที่ 7.7 และ 8.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 12.4%YoY และ 8.9%YoY ตามลำดับ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากความร่วมมือของภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมและยกระดับคุณภาพของสินค้า ทำให้ปัญหาด้านคุณภาพและมาตรฐานด้านความปลอดภัยของอาหารของจีนได้คลี่คลายลงมาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ขณะที่ปริมาณผลผลิตผักและผลไม้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวย ประกอบกับความต้องการบริโภคผักและผลไม้เมืองร้อนของชาวจีนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้ คาดว่าราคาส่งออกทุเรียนสดจะอยู่ที่ราว 4,050-4,074 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราคาส่งออกทุเรียนสดของไทยในปี 2566-67 อยู่ที่ 4,266 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เนื่องจากการส่งออกไปจีนเผชิญปัจจัยท้าทายจากการแข่งขันกับคู่แข่งอย่างมาเลเซีย เวียดนามและฟิลิปปินส์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงผลผลิตทุเรียนของจีนที่จะออกสู่ตลาดมากขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทที่มีทิศทางแข็งค่า ซึ่งอาจเป็นปัจจัยบั่นทอนต่อการส่งออกผลไม้ของไทย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนด เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป

• สำหรับมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ คาดว่าจะกระทบต่อการส่งออกไก่ของไทยไม่มากนัก เนื่องจากไทยส่งออกไก่ไปสหรัฐฯ เพียง 0.002% ของมูลค่าการส่งออกไก่ทั้งหมดของไทย ขณะที่การเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 47 ที่มาเลเซีย สำหรับประเด็นการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรวัตถุดิบอาหารสัตว์จากสหรัฐฯ อย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และถั่วเหลือง คาดว่าจะส่งผลดีต่อต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบของเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่และส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตของธุรกิจปลายน้ำอย่างไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามกรอบเวลาการบังคับใช้ที่แน่ชัดภายหลัง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์นำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ส่วนใหญ่เป็นพืชดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) ซึ่งอาจทำให้ต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางการค้า หรือสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่อ่อนไหวต่อประเด็น GMO อย่างตลาดสหภาพยุโรป

• ในปี 2569-2570 คาดว่า มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 4,754 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 5,016 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5.0%YoY และ 5.5%YoY ตามลำดับ และปริมาณการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปจะอยู่ที่ 1.20 และ 1.24 ล้านตัน ขยายตัว 2.7%YoY และ 2.9%YoY ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีทิศทางฟื้นตัว ตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการส่งออกไก่แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่นที่ยังขยายตัวตามความนิยมบริโภคอาหารพร้อมทานของคนญี่ปุ่น รวมทั้งการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปช่วยหนุนการนำเข้าไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น อีกทั้งการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในจีนและเวียดนามทำให้มีการนำเข้าไก่เนื้อเพื่อทดแทนสุกรมากขึ้น รวมถึงจีนรับรองโรงงานผลิตและแปรรูปไก่แช่แข็งไทยเพิ่มอีก 3 โรงในปีนี้ รวมเป็น 26 โรงงาน
 
อย่างไรก็ดี การส่งออกไทยยังเผชิญกับแรงกดดันเนื่องจากต้องแข่งขันกับบราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกที่มีความได้เปรียบจากการเป็นผู้ผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลืองรายใหญ่ทำให้มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทย รวมถึงจีนนำเข้าไก่จากรัสเซียมากขึ้น และทางผู้ผลิตในจีนก็เพิ่มกำลังผลิตภายในประเทศด้วยเช่นกัน

เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าอาจกระทบต่อมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทย

ในช่วงที่เหลือของปี 2568 และในปี 2569-70 เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าอาจกดดันต่อมูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาท และอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก และมีการนำเข้าวัตถุดิบในสัดส่วนที่น้อย เช่น ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง อาหารทะเลแปรรูป ผลไม้ น้ำตาล ไก่ และข้าว เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงถึงราว 50-100% ของรายได้รวมทั้งหมดของแต่ละอุตสาหกรรม และส่วนใหญ่เป็นรายกลางและรายย่อย อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ ทำให้ผู้นำเข้าสามารถหันไปสั่งซื้อสินค้าจากคู่แข่งมาทดแทนได้ จึงเป็นกลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากกว่ากลุ่มสินค้าส่งออกในภาคอุตสาหกรรม
 
 
Implication

Krungthai COMPASS มองว่า การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2569-2570 อาจมีแนวโน้มหดตัว จากภาษีตอบโต้และการแข่งขันในตลาดคู่ค้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าข้าว อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง รวมทั้งยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ดังนี้

1. มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง รวมถึงสินค้าที่พึ่งพาตลาดจีนสูง และสินค้าที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน เช่น ยางพารา อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าที่สูง ซึ่งอาจกดดันต่อรายได้และกำไรของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs 

2. การเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ของประเทศคู่ค้า อาจทำให้สินค้าไทยเสี่ยงถูกแย่งตลาด ปัจจุบันหลายประเทศเจรจาทำข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ซึ่งครอบคลุมสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร รวมถึงเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่นจะเพิ่มการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ ถึง 75% ภายใต้ระบบโควตา “Minimum Access“ ขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งอนุญาตให้นำเข้าข้าวโดยไม่เสียภาษีศุลกากรประมาณ 770,000 ตันต่อปี อาจทำให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดและรายได้จากการส่งออกข้าวไปญี่ปุ่น เป็นต้น

3. เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าอาจกดดันความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย โดย Krungthai COMPASS คาดว่า ในปี 2569-2570 เงินบาทจะอยู่ที่ราว 32.0 และ 31.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือแข็งค่า 3.0% และ 2.2% ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้รายได้จากการส่งออกในรูปเงินบาทมีแนวโน้มลดลง รวมทั้งอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก และมีการนำเข้าวัตถุดิบในสัดส่วนที่น้อย เช่น ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง อาหารทะเลแปรรูป ผลไม้ น้ำตาล ไก่ และข้าว เป็นต้น

4. มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าอาจทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น เช่น กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EU Deforestation-free products: EUDR) ซึ่งครอบคลุมสินค้าในกลุ่มยางพารา และปาล์มน้ำมัน โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 30 ธ.ค. 2568 สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ และ 30 มิ.ย. 2569 สำหรับบริษัท SMEs ซึ่งแม้ว่าไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำจากการตัดไม้ทำลายป่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าไทยไปสหภาพยุโรป อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยยังจำเป็นต้องลงทุนในการพัฒนาระบบเก็บรวบรวมข้อมูลตลอดห่วงโซ่การผลิต เช่น พิกัดแหล่งผลิตสินค้า และหลักฐานความถูกต้องของการใช้ที่ดิน เป็นต้น รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับ EUDR และรักษามาตรฐานด้านความโปร่งใสอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการไทยเพิ่มสูงขึ้น

สุคนธ์ทิพย์ ชัยสายัณห์
ปราโมทย์ วัฒนานุสาร
กฤชนนท์ จินดาวงศ์
สุทธิภัทร ราชคม
Krungthai Compass
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 26 พ.ย. 2568 เวลา : 11:47:08
27-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (27 พ.ย.68) บวก 0.05 จุด ดัชนี 1,261.23 จุด

2. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ลงซื้อ-ขึ้นขาย ในรูปแบบ "Sideways" แนวรับที่ 4,130-4,100 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,180-4,200 เหรียญ

3. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (26 พ.ย.68) บวก 25 ดอลลาร์ นักลงทุนแห่ซื้อทองต่อเนื่อง รับความหวังเฟดลดดอกเบี้ย

4. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (26 พ.ย.68) บวก 314.67 จุด รับหุ้นเทคฯฟื้น-คาดเฟดลดดอกเบี้ยเดือนธ.ค.

5. พยากรณ์อากาศ (27 พ.ย.68) ทั่วไทยอากาศเย็นลง อุุณหภูมิลดลง 1-2 องศา เว้นภาคอีสาน ลด 2-4 องศา "ยอดดอย" 3 องศา, ภาคใต้ฝนลดลง ตก 40%

6. ทองเปิดตลาดวันนี้ (27 พ.ย. 68) ลดลง 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,150 บาท

7. ตลาดหุ้นไทยเปิด (27 พ.ย.68) บวก 2.73 จุด ดัชนี 1,263.91 จุด

8. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.10-32.35 บาท/ดอลลาร์

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (27 พ.ย.68) ทรงตัวที่ระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์

10. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (26 พ.ย.68) ลบ 1.96 จุดดัชนี 1,266.82 จุด

11. MTS Gold คาดราคาทองคำประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,120-4,100 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,190-4,220 เหรียญ

12. ทองเปิดตลาดวันนี้ (26 พ.ย. 68) ปรับขึ้น 150 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,150 บาท

13. ตลาดหุ้นไทยเปิด (26 พ.ย.68) บวก 5.32 จุด ดัชนี 1,274.10 จุด

14. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (26 พ.ย.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.28 บาทต่อดอลลาร์

15. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (25 พ.ย.68) พุ่ง 45.8 ดอลลาร์ คาดเฟดลดดอกเบี้ยเดือนหน้าหลังข้อมูลศก.อ่อนแอลง

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 27, 2025, 5:15 pm