
ตอนนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนในโลกโซเชียลมีเดีย ก็ต่างมีภาพ วีดีโอ หรืองานกราฟฟิกต่าง ๆ ที่ Generated ขึ้นด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI แทบทั้งนั้น อีกทั้งหลาย ๆ คนตอนนี้ก็ยังใช้ AI เสมือนกับเป็นเลขาส่วนตัว ที่อยู่ในบทบาทตั้งแต่เพื่อนคู่คิด ไปจนถึงการใช้ประโยชน์ทางการศึกษาและสายงานอาชีพเลยทีเดียว เรียกได้ว่า AI ได้เข้ามาอาศัยร่วมกับมนุษย์อย่างกลมกลืนเข้าไปทุกที จนเราอาจสามารถอนุมานได้กลาย ๆ ว่าสิ่งที่ชาญฉลาดเช่นนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่จะสร้างทุกความเป็นไปได้ให้กับโลกอนาคตอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้น "ซุนดาร์ พิชัย" CEO ของ Google กลับออกโรงเตือนว่า “จะไม่มีใครรอด หากฟองสบู่ AI แตกขึ้นมา ทุกบริษัทจะได้รับผลกระทบทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ Google เอง” ซึ่งคำพูดนี้ได้สร้างความหวาดหวั่นให้กับวงการเทคเป็นอย่างมาก เพราะ Google จัดเป็นหนึ่งในผู้เล่นใหญ่ที่สุดที่ลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยี AI ซึ่งออกแบบทั้งฮาร์ดแวร์ (ชิปประมวลผล), โครงสร้างข้อมูล, โมเดลการเรียนรู้ในระบบ, บริการคลาวด์ และระบบ Infrastucture ต่าง ๆ ของ AI ดังนั้นจึงเป็นไปได้อย่างมากที่ทาง Google จะเห็นทั้งโอกาส และ “ความเสี่ยง” ที่ในตอนนี้อยู่ในช่วงของ AI กำลังบูม ซึ่งมีแรงกดดันจากความคาดหวังมหาศาลทั่วอุตสาหกรรม โดยในหลาย ๆ บริษัท และนักลงทุน ต่างเทเงินลงทุน เพราะหวังว่าจะได้กำไรมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ในตอนนี้ทาง CEO ของ Google ชี้ให้เห็นว่าการลงทุนใน AI พุ่งสูงเกิน “เหตุผลพื้นฐาน” จนราคาหุ้นและมูลค่าของบริษัทพุ่งสูงเร็วมาก จนคล้ายกับช่วงยุคฟองสบู่ดอทคอมเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ที่หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากความเชื่อมั่นที่มากเกินจริงว่าเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจะสร้างรายได้มหาศาล แม้หลายบริษัทจะยังไม่มีกำไร จนในที่สุด บริษัทเหล่านั้นก็ต่างล้มละลาย และส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างหนักหน่วงมากสุดในประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ทางฝั่ง CEO ของ Nvidia “เจนเซ่น หวง” กลับมองในทิศทางตรงกันข้าม ว่ามันคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมที่จะเปลี่ยนโครงสร้างครั้งใหญ่ของระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี มากกว่าจะเป็น “ฟองสบู่” ที่จะซ้ำรอยเดิมกับยุคดอทคอม เพราะในปัจจุบัน AI คือ Core Technology หรือเทคโนโลยีพื้นฐาน ที่กลายเป็นโครงสร้างเบื้องหลังของทุกการประมวลผลในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีใหม่ตลอดทศวรรษหน้า ไม่ว่าจะเป็น โมเดล AI, เซมิคอนดักเตอร์, Data Center, Accelerated Computing, GPU-clusters, ระบบคลาวด์, Robotics AI ฯลฯ จะขยายไปไกล สอดรับกับความต้องการที่มากขึ้นจริง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น CEO ของ Nvidia มองว่า ระบบ AI จะเข้ามา “ตัดสินใจแทนคนทำงานและทำงานแทนคน” โดยการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่นี้ จะทำให้อุตสาหกรรมเลิกพึ่ง CPU ธรรมดา และหันมาใช้ AI + GPU แบบจริงจัง โดยเฉพาะ GPU จากทาง Nvidia ที่ทำได้ดีแทน
ทั้งนี้ CEO ของ Nvidia ก็ยอมรับว่า ช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนที่โครงสร้างใหม่ของเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนไปสู่ยุคที่ใช้ AI ทุกด้านอย่างยั่งยืนนั้น ยังคงมีความเสี่ยงสูง เพราะการจะขยาย Data Center และโครงสร้างพื้นฐานมารองรับ AI ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล (พลังงาน, ที่ดิน, Mmemory-chip Supply ระบบทำความเย็น ฯลฯ) หากเกิดปัจจัยเสี่ยง เช่น ปัญหาซัพพลายเชน ค่าไฟ/พลังงาน หรือความกดดันสิ่งแวดล้อม ก็อาจเป็นข้อจำกัดใหญ่ ที่กระทบกับบริษัทและ Ecosystem ที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้ ดังนั้นถึงแม้จะมีความคาดหวังที่พิจารณาได้จากภาคการลงทุนในตอนนี้ แต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่า “ทุกบริษัทที่ลงทุนใน AI” จะพัฒนาโปรเจกต์ได้สำเร็จจริง ๆ ในอนาคต อาจจะมีบริษัทที่ล้มลง หรือมีค่าใช้จ่ายสูงไม่คุ้มทุนปะปนอยู่ในการเปลี่ยนผ่านก่อนเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของ AI จะมาถึง
ข่าวเด่น