เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Krungthai Compass ประเมินผลกระทบจากข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-ไทย


 
• เมื่อ 26 ต.ค. 2568 ที่ผ่านมา สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯได้มีการเผยแพร่กรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐฯ และไทย โดยหนึ่งในข้อตกลงที่สำคัญ คือ ข้อตกลงในการซื้อขายสินค้าในกลุ่มเกษตรกรรม พลังงาน และการบิน
 
• Krungthai COMPASS ได้วิเคราะห์ผลกระทบจากการซื้อสินค้า 3 กลุ่มเบื้องต้น ดังนี้ 1. การซื้อสินค้าเกษตรกรรม มูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี ประเมินว่า จะช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์โดยรวมลง 157 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่อาจสร้างอุปทานส่วนเกินของมูลค่าผลผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศราว 477 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2. การซื้อสินค้าพลังงาน มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี ประเมินว่า จะช่วยให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติของไทยลดลงราว0.2% ซึ่งช่วยลดต้นทุนก๊าซธรรมชาติของไทยทั้งหมดราว 835 ล้านบาท/ปี ส่วนการนำเข้าอีเทน ประเมินว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตราว 30% เมื่อเทียบกับต้นทุนแนฟทา ซึ่งอาจทำให้ Spread ของเม็ดพลาสติก PE เพิ่มขึ้นราว 200-250 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน 3. การซื้อเครื่องบินจากสหรัฐฯ มูลค่ารวม18.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐประเมินว่าอาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการส่งมอบเครื่องบิน รวมถึงอาจสามารถเพิ่มเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ให้กับไทยมากขึ้นได้
 
• ในระยะถัดไป ไทยและสหรัฐฯ จะดำเนินการเจรจา เพื่อสรุปในประเด็นต่างๆ ของข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน ซึ่ง Krungthai COMPASS จะได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอต่อไป 

 
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (Office of the United States Trade Representative: USTR) ได้เผยแพร่กรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน (Framework for an Agreement on Reciprocal Trade) ระหว่างสหรัฐฯ และไทย ซึ่งประกอบไปด้วยข้อตกลงด้านต่างๆ เช่น อัตราภาษีนำเข้า การค้า การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา แรงงาน สิ่งแวดล้อม ซึ่งหนึ่งในข้อตกลงที่สำคัญในกรอบข้อตกลงดังกล่าว คือ ข้อตกลงทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในการซื้อขายสินค้าในกลุ่มเกษตรกรรม พลังงาน และการบิน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
 
1. การซื้อสินค้าเกษตรกรรม ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และกากธัญพืชที่เหลือจากการ
ผลิตเอทานอลด้วยข้าวโพด (Dried Distiller Grains with Solubles: DDGS) มูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี    (ราว 83,980 ล้านบาท/ปี)1
 
2. การซื้อสินค้าพลังงาน ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas: LNG) น้ำมันดิบ และ       อีเทน มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี (ราว 174,420 ล้านบาท/ปี)1
 
3. การซื้อเครื่องบินจากสหรัฐฯ จำนวน 80 ลำ มูลค่ารวม 18.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 607,240        ล้านบาท)1
 
บทความฉบับนี้จะทำการประเมินผลกระทบทางธุรกิจเบื้องต้นจากข้อตกลงในการซื้อขายกลุ่มสินค้าทั้ง 
3 ประเภทข้างต้น และแนวทางในการปรับตัวของผู้ประกอบการ รวมถึงภาคส่วนที่มีความเกี่ยวข้อง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้  
 
1อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 32.3 บาท

การจัดซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี
 
 
 
ไทยพึ่งพาการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร สำหรับเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และกากธัญพืชที่เหลือจากการผลิตเอทานอลด้วยข้าวโพด (DDGS) ราว 20-60% โดยไทยนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเมียนมามากที่สุดถึง 88% ส่วนกากถั่วเหลืองไทยนำเข้าจากบราซิลมากที่สุด 93% และ DDGS ไทยนำเข้าจากสหรัฐฯ มากที่สุด 84% 
 
หากพิจารณาเปรียบเทียบราคานำเข้าของกลุ่มวัตถุดิบอาหารสัตว์ พบว่า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ มีราคาถูกกว่าเมียนมาและไทย โดยราคานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ อยู่ที่ 254 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ถูกกว่าราคานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเมียนมาและในไทยอยู่ที่ 372 และ 263 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ตามลำดับ ขณะที่ราคานำเข้ากากถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ อยู่ที่ 544 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน มีราคาแพงกว่าราคานำเข้ากากถั่วเหลืองของบราซิลอยู่ที่ 533 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ส่วนราคานำเข้า DDGS จากบราซิลมีราคาถูกกว่าสหรัฐฯ และไทย

 
Krungthai COMPASS ประเมินว่า หากไทยมีการจัดซื้อผลิตภัณฑ์เกษตร 3 สินค้าจากสหรัฐฯ ตามข้อตกลงประมาณ 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี จะส่งผลดีต่อต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์โดยรวมลดลง 157 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากไทยสามารถซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ ในราคาที่ถูกลง ทั้งนี้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีสัดส่วนการใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์มากที่สุดถึง 33% ของการผลิตอาหารปศุสัตว์ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผู้ประกอบการในภาคปศุสัตว์และผู้ผลิตอาหารสัตว์
อย่างไรก็ดี หากไทยเปลี่ยนมานำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์อย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และ DDGS ตามข้อตกลงของสหรัฐฯ ทั้งหมดจากเดิมที่นำเข้าจากเมียนมาหรือบราซิล ซึ่งอาจสร้างอุปทานส่วนเกินของมูลค่าผลผลิต 3 วัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศราว 477 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  เพราะจะต้องแข่งขันด้านราคากับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่มีราคาถูกกว่า ส่วนเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองคาดจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากไทยมีพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตในประเทศไม่มากนัก และความต้องการใช้ถั่วเหลืองเกือบทั้งหมดต้องพึ่งพาการนำเข้าอยู่แล้ว ทั้งนี้ อุปทานส่วนเกินวัตถุดิบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และ DDGS สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล หรือใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้

ประเด็นข้อตกลงนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากสหรัฐฯ จะเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการของไทย อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามความชัดเจนของแนวทางการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด โดยนำเสนอข้อเสนอแนะให้แก่ผู้ประกอบการของไทยเพิ่มเติม แบ่งออกเป็น 3 หมวด ได้แก่

1. เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำเป็นต้อง ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสภาวะการแข่งขันสูงขึ้น โดย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน เช่น ใช้พันธุ์ที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูง ปรับปรุงเทคนิคการเพาะปลูก ลดค่าใช้จ่ายปัจจัยการผลิตต่อหน่วย เพื่อให้สามารถแข่งขันด้านราคากับผลผลิตนำเข้าได้

2. ผู้รวบรวมวัตถุดิบหรือผู้ค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศควรหันมานำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่าแทน รวมถึงร่วมมือกับผู้นำเข้ารายใหญ่ที่มีเครือข่ายในต่างประเทศ รักษาความสัมพันธ์กับเกษตรกรในประเทศ แม้ว่าการนำเข้าจะเพิ่มขึ้น แต่ผู้ค้าวัตถุดิบควรยังคงสนับสนุนเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกในประเทศ เช่น ให้ข้อมูลราคาตลาด ล็อกราคารับซื้อขั้นต่ำล่วงหน้า หรือรับซื้อผลผลิตเฉพาะกลุ่มพรีเมียม เพื่อสร้างจุดขายต่างจากวัตถุดิบนำเข้า และรักษาฐานคู่ค้าภายในประเทศไว้เป็นทางเลือกเสริมเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันกับตลาดโลก 

3. ผู้ผลิตอาหารสัตว์ แม้จะได้รับประโยชน์ชัดเจนที่สุดจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงและความท้าทายที่ต้องคำนึง เช่น มาตรฐาน GMO  เนื่องจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชดัดแปรพันธุกรรม (GMO) แม้ว่าการใช้วัตถุดิบเหล่านี้จะมีข้อดีในด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศจากกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ แต่การใช้วัตถุดิบ GMO อาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางการค้า หรือสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่มีความอ่อนไหวต่อประเด็น GMO โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรปที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ราว 28% ของการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ทั้งหมดของไทย ซึ่งมีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอาหารที่เข้มงวด และมีท่าทีไม่สนับสนุนการนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้วัตถุดิบ GMO 

การซื้อสินค้าพลังงานมูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี

 
สำหรับก๊าซธรรมชาติเหลว (ก๊าซ LNG) บมจ.ปตท.มีสัญญาซื้อก๊าซ LNG เพิ่มอีก 1 ล้านตัน/ปี ตั้งแต่ปี 2569 รวมทั้งมีแผนที่จะซื้อ LNG เพิ่มเติมอีก 2 ล้านตัน/ปี จากแหล่งอะแลสกาในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2573 เป็นต้นไป ซึ่งแผนการซื้อ LNG ในช่วงปี 2573 เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และไทยฉบับนี้ 2  

หากพิจารณาเฉพาะสัญญาซื้อก๊าซ LNG เพิ่มเติม 1 ล้านตัน/ปี Krungthai COMPASS ประเมินว่า สัดส่วนปริมาณการนำเข้าก๊าซ LNG จากสหรัฐฯ ของไทยจะเพิ่มขึ้นจาก 17.6% ในปี 2568 เป็น 26.7% ในปี 2569 ซึ่งคิดเป็นมูลค่านำเข้าทั้งหมด 1,832 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Krungthai COMPASS ประเมินว่า การที่ไทยนำเข้าก๊าซ LNG จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นราว 1 ล้านตัน/ปี ตามสัญญาซื้อของ บมจ.ปตท. จะส่งผลให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติโดยรวมของไทยลดลงราว 0.2% ซึ่งช่วยลดต้นทุนก๊าซธรรมชาติของไทยทั้งหมดราว 835 ล้านบาท/ปี3

สำหรับข้อตกลงการซื้อพลังงานที่เหลือในข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และไทยราว 3.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี Krungthai COMPASS  คาดว่าไทยอาจใช้ในการซื้อน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ  โดยมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ ของไทย คาดจะเพิ่มขึ้นจาก 3.52 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 เป็น 4.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 4.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568-69 ตามลำดับ ซึ่งเพียงพอตามเงื่อนไขในส่วนของข้อตกลงการซื้อสินค้าพลังงานในข้อตกลงทางค้าระหว่างสหรัฐฯ และไทย
 
2 ข้อมูลจากบทความเรื่อง “ปตท. ลุยซื้อ LNG 2 ล้านตัน รับภาษีทรัมป์ เอ็กโกเล็งลงทุนเพิ่ม, นสพ.ฐานเซรษฐกิจ (ส.ค.2568)
 
3 ประเมินอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่า ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติในปี 2569 เท่ากับปี 2567

 
ดังนั้น ในระยะข้างหน้า หากไทยสามารถรักษาสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ ในระดับเดียวกับปี 2568 ไทยอาจไม่จำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ เพิ่มเติม เพื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขในข้อตกลงทางค้าดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศอาจไม่ได้รับผลกระทบจากข้อตกลงการซื้อพลังงานดังกล่าว

ประเด็นข้อตกลงสินค้าพลังงานจากสหรัฐฯ อาจสร้างประโยชน์แก่ผู้ประกอบการในแง่ของการลดต้นทุนก๊าซธรรมชาติและค่าไฟฟ้า นอกจากนั้น หากผู้ประกอบการต้องการได้รับประโยชน์จากข้อตกลงทางค้าดังกล่าวเพิ่มเติม ผู้ประกอบการสามารถนำเอาน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ ไปใช้ในการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปที่มีมูลค่าสูง เช่น น้ำมันเบนซิน และ Jet Fuel เพราะน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ มักเป็นน้ำมันดิบประเภท Sweet Light ซึ่งทำให้สามารถผลิตน้ำมันสำเร็จรูปดังกล่าวในสัดส่วนที่สูง4

 
สำหรับอีเทน ในช่วงที่ผ่านมา ไทยยังไม่เคยนำเข้าอีเทนในเชิงพาณิชย์ เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้น
ในการผลิตปิโตรเคมี โดยอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยใช้แนฟทา (Naphtha) เป็นหลัก ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ คิดเป็นสัดส่วนราว 68% ของการใช้วัตถุดิบทั้งหมด5 โดยจัดหาแนฟทาภายในประเทศและนำเข้าจากตะวันออกกลาง ขณะที่การใช้อีเทน (Ethane) ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติ คิดเป็นสัดส่วนราว 32% ของการใช้วัตถุดิบทั้งหมด เนื่องจากปริมาณอีเทนที่ผลิตภายในประเทศมีจำกัด จากปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่มีแนวโน้มลดลง อีกทั้งการนำเข้าอีเทนต้องใช้เงินลงทุนที่สูงมาก เนื่องจากจำเป็นต้องลงทุนปรับปรุงโรงงานผลิตปิโตรเคมีให้รองรับการใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิต รวมทั้งต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งถังเก็บ ท่อขนส่ง รวมถึงการขนส่งต้องใช้เรือขนส่งอีเทนขนาดใหญ่ (Very Large Ethane Carriers: VLECs) เท่านั้น ซึ่งต้องทำสัญญาเช่าเรือขนส่งอีเทนระยะยาว ทำให้มูลค่าการลงทุนค่อนข้างสูง และอาจไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน หากนำเข้าอีเทนเข้ามาในปริมาณที่ไม่มากนัก

4 ข้อมูลจากบทความเรื่อง “แนวโน้มธุรกิจโรงกลั่นน้ามันของไทย ท่ามกลางความเสี่ยงด้าน ESG Transition”, Krungthai COMPASS (พ.ย. 2568) และรวบรวมและคำนวณโดย Krungthai COMPASS 

5 อ้างอิงจาก Thailand Taxonomy ภาคอุตสาหกรรมการผลิต, ธนาคารแห่งประเทศไทย

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน ความต้องการปิโตรเคมีทั่วโลกมีแนวโน้มลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเผชิญการแข่งขันที่สูงกับสินค้าจีนที่มีแนวโน้มทะลักเข้ามาในไทยและประเทศที่ไทยส่งออกอย่างกลุ่มอาเซียนมากขึ้น ทำให้บริษัทผลิตปิโตรเคมีรายใหญ่ของไทยมีการพัฒนาโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกจากอีเทน รวมทั้งลงทุนก่อสร้างท่อขนส่งและถังเก็บอีเทน โดยมีแผนนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เช่น PTTGC มีแผนนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ จำนวน 4 แสนตัน/ปี ระยะเวลา 15 ปี เพื่อเป็นวัตถุดิบในโรงงานโอเลฟินส์ทั้ง 5 โรงในไทย ภายในปี 2572 ขณะที่ SCGC มีแผนนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ จำนวน 1 ล้านตันต่อปี ระยะเวลา 15 ปี เพื่อเป็นวัตถุดิบในโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) ในเวียดนาม6 เป็นต้น

Krungthai COMPASS ประเมินว่า การนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ จะส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตปิโตรเคมีโดยรวมลดลงราว 30% เมื่อเทียบกับต้นทุนแนฟทา โดยในปี 2570-72 Nexant คาดว่า ราคาอีเทนของสหรัฐฯ เฉลี่ยจะอยู่ที่ราว 300 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ซึ่งเมื่อรวมกับค่าขนส่งและค่าดำเนินการคาดว่าจะทำให้ราคานำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ มาไทยอยู่ที่ราว 500 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ขณะที่ต้นทุนแนฟทาของเอเชียแปซิฟิกเฉลี่ยจะอยู่ที่ราว 750 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ซึ่งคาดว่าการใช้อีเทนจะทำให้ส่วนต่าง (Spread) ระหว่างราคาเม็ดพลาสติก PE กับราคาวัตถุดิบตั้งต้นเพิ่มขึ้นราว 200-250 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เมื่อเทียบกับการใช้แนฟทา

ดังนั้น ประเด็นข้อตกลงนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ จะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะรายใหญ่ที่มีความพร้อมด้านเงินทุน ทั้งในแง่ของการลดต้นทุนการผลิต และช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยต้องใช้เงินลงทุนที่สูงมากในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของโรงงาน เพื่อรองรับการใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบในการผลิต รวมทั้งต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในการขนส่งและจัดเก็บอีเทน จึงจำเป็นต้องพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุน และวางแผนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระยะยาว

 
 
6 อ้างอิงจาก PTTGC-SCGC ปรับแผนรับมือปิโตรเคมีดิ่งยาว ชูทางรอดนำเข้าอีเทนนจากสหรัฐฯ ป้อนโรงโอเลฟินส์
 
การซื้อเครื่องบินจากสหรัฐฯ จำนวน 80 ลำ มูลค่ารวม 18.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ในกรณีเครื่องบินพาณิชย์ ข้อตกลงการซื้อเครื่องบินจากสหรัฐฯ อาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการส่งมอบเครื่องบิน รวมถึงอาจสามารถเพิ่มเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ให้กับไทยมากขึ้น หากไทยมีความต้องการซื้อฝูงบินเพิ่มหรือการซื้อทดแทนเครื่องบินที่ปลดระวาง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 เริ่มคลายตัว ความต้องการในการเดินทางทางอากาศก็ได้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากข้อมูลของ McKinsey & Company พบว่า ในช่วงปี 2566-67 ความต้องการเดินทางทางอากาศของโลก สะท้อนจาก Revenue Passenger Kilometer (RPK)7 ที่ปรับสูงขึ้นกว่า 10% และคาดว่าจะเติบโตในอัตรา 4.2% จนถึงปี 2573 อย่างไรก็ดี การผลิตและจัดส่งเครื่องบินกลับลดลง สะท้อนได้จากการขาดแคลนเครื่องบินที่สมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ  (International Air Transport Association: IATA) PWC และ McKinsey & Company ประเมินว่า ทั่วโลกมีการขาดแคลนเครื่องบินถึง 5,352 ลำ  4,500 ลำ และ 2,000 ลำ ตามลำดับการบรรลุข้อตกลงดังกล่าวอาจมีส่วนช่วยในด้านการสร้างความเชื่อมั่น (secure order) ในการส่งมอบเครื่องบินให้กับไทยมากขึ้นในภาวะการขาดแคลน เครื่องบินพาณิชย์ เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ 

นอกจากนี้ อาจรวมถึงการเจรจาเพื่อเพิ่มเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์กับทางไทยด้วย เนื่องจากเป็นข้อตกลงที่มีการซื้อเครื่องบินจำนวนมากและมีมูลค่าสูง เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยี การร่วมเป็นพันธมิตรในการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair Overhaul: MRO) รวมถึงการพัฒนาด้านอื่นๆ ที่จะสนับสนุนให้ไทยก้าวสู่เป้าหมาย Aviation hub ของภูมิภาค

ในระยะถัดไป ไทยและสหรัฐฯ จะดำเนินการเจรจาเพื่อสรุปในประเด็นต่างๆ ของข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน ซึ่ง Krungthai COMPASS จะได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลอัพเดทและนำเสนอต่อไป  
 
7 Revenue Passenger Kilometers คือ ตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดปริมาณผู้โดยสารที่สายการบินขนส่ง โดยคำนวณจากจำนวนผู้โดยสารที่จ่ายเงินคูณกับระยะทางที่เดินทาง (กิโลเมตร) 
 
 
สุปรีย์ ศรีสำราญ
พงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ
สุคนธ์ทิพย์ ชัยสายัณห์
ปราโมทย์ วัฒนานุสาร
Krungthai Compass
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 27 พ.ย. 2568 เวลา : 18:35:02
27-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (27 พ.ย.68) ลบ 8.47 จุด ดัชนี 1,252.71 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (27 พ.ย.68) บวก 0.05 จุด ดัชนี 1,261.23 จุด

3. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ลงซื้อ-ขึ้นขาย ในรูปแบบ "Sideways" แนวรับที่ 4,130-4,100 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,180-4,200 เหรียญ

4. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (26 พ.ย.68) บวก 25 ดอลลาร์ นักลงทุนแห่ซื้อทองต่อเนื่อง รับความหวังเฟดลดดอกเบี้ย

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (26 พ.ย.68) บวก 314.67 จุด รับหุ้นเทคฯฟื้น-คาดเฟดลดดอกเบี้ยเดือนธ.ค.

6. พยากรณ์อากาศ (27 พ.ย.68) ทั่วไทยอากาศเย็นลง อุุณหภูมิลดลง 1-2 องศา เว้นภาคอีสาน ลด 2-4 องศา "ยอดดอย" 3 องศา, ภาคใต้ฝนลดลง ตก 40%

7. ทองเปิดตลาดวันนี้ (27 พ.ย. 68) ลดลง 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,150 บาท

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (27 พ.ย.68) บวก 2.73 จุด ดัชนี 1,263.91 จุด

9. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.10-32.35 บาท/ดอลลาร์

10. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (27 พ.ย.68) ทรงตัวที่ระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์

11. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (26 พ.ย.68) ลบ 1.96 จุดดัชนี 1,266.82 จุด

12. MTS Gold คาดราคาทองคำประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,120-4,100 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,190-4,220 เหรียญ

13. ทองเปิดตลาดวันนี้ (26 พ.ย. 68) ปรับขึ้น 150 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,150 บาท

14. ตลาดหุ้นไทยเปิด (26 พ.ย.68) บวก 5.32 จุด ดัชนี 1,274.10 จุด

15. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (26 พ.ย.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.28 บาทต่อดอลลาร์

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 27, 2025, 8:15 pm