เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ "รถจีนบุกตลาดโลก คาดกระทบส่งออกรถไทยปี 69 หดตัว 3% เหลือ 9 แสนคัน"


· การส่งออกรถยนต์ไทยกำลังถูกจีนเข้าแย่งตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในกลุ่มรถยนต์นั่งพบการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นชัดเจนจากกลุ่ม xEV จากจีน ส่วนกลุ่มปิกอัพแม้ยังส่งออกได้ดี แต่ตลาดหลักอย่างออสเตรเลียเริ่มมีปัญหา โดยจีนได้ขยับขึ้นเป็นหนึ่งคู่แข่งสำคัญ ซึ่งลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับในอีกหลายตลาด


· ปี 2569 คาดไทยยังคงส่งออกรถยนต์ลดลงต่อที่ 3% (YoY) เหลือราว 9 แสนคัน จากปีนี้ที่คาดทำได้ 9.3 แสนคัน ดังนั้นเพื่อก้าวข้ามการหดตัวต่อเนื่องในอนาคต การเร่งพัฒนาขึ้นเป็นฐานผลิตหลักของรถยนต์นั่งและปิกอัพ xEV ที่ตลาดกำลังต้องการเป็นสิ่งจำเป็น ขณะเดียวกันการพัฒนาลดต้นทุนการผลิตปิกอัพ ICE ให้พอแข่งขันกับจีนได้ รวมถึงการเร่งเพิ่มโอกาสส่งออกไปตลาดใหม่ก็เป็นสิ่งที่ควรทำควบคู่กันไป

จีนกำลังขึ้นเป็นคู่แข่งส่งออกที่สำคัญของไทย ทั้งตลาดรถนั่งและปิกอัพ

 
 
ในอดีตจีนเคยเป็นประเทศที่ส่งออกรถยนต์น้อยกว่าไทยมาโดยตลอด ก่อนที่ปี 2564 จีนจะกลายมาเป็นคู่แข่งสำคัญจนล่าสุดมูลค่าส่งออกรถยนต์จากจีนได้เพิ่มขึ้นไปสูงกว่าไทยถึง 5.4 เท่า ขณะที่มูลค่าการส่งออกรถยนต์จากไทยกลับมีทิศทางที่ลดลง (รูปที่ 1)

โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 พบไทยมีการส่งออกลดลงในหลายตลาดหลัก โดยเฉพาะโอเชียเนีย และอาเซียน (ตลาดหลักที่มีส่วนแบ่งในตลาดส่งออกรถยนต์ของไทยรวมกันถึงกว่า 56%) ตรงข้ามกับจีนที่แม้จะส่งออกลดลงในยุโรปและอเมริกาเหนือ จากการถูกตั้งกำแพงภาษีสูงกว่าประเทศอื่นที่ 35.3% และ 110% ตามลำดับ แต่จีนก็ยังส่งออกไปตลาดอื่น ๆ ได้ดี (รูปที่ 2)

 
 
ยิ่งพิจารณาลงถึงประเภทรถยนต์ที่ส่งออก ก็พบจีนสามารถขยายการส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดโลกได้ดีกว่าไทยทั้งกลุ่มรถยนต์นั่งและกลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก เช่น ปิกอัพและรถตู้บรรทุกสินค้า สังเกตจากสถิติมูลค่าการส่งออกช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (รูปที่ 3) พบว่า

· กลุ่มรถยนต์นั่ง จีนมีมูลค่าส่งออกสูงกว่าไทยถึงมากกว่า 9 เท่า และยังขยายตัวถึง 10% (YoY) ตรงข้ามกับไทยที่หดตัว 11% (YoY)

· กลุ่มปิกอัพและรถตู้บรรทุกสินค้า พบการส่งออกจากจีนขยายตัวสูงถึง 41% (YoY) เทียบกับไทยที่ขยายตัวเพียง 8% (YoY) และแม้มูลค่าส่งออกของจีนในกลุ่มนี้จะยังต่ำกว่าไทยอยู่บ้าง แต่พบว่ามีการขยับระดับเข้าใกล้ไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ

 
 
รถนั่งส่งออกไทยเผชิญแรงกดดันจากความต้องการรถ xEV ที่เพิ่มขึ้น

ปัจจุบันการส่งออกรถยนต์นั่งของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ โดยนอกจากสงครามราคาแล้ว ยังมีเรื่องปัญหาความต้องการใช้รถที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค เนื่องจากไทยยังเน้นส่งออกรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่ตลาดกำลังต้องการลดลงถึง 90% ส่วนรถยนต์นั่งกลุ่ม xEV ที่ตลาดกำลังต้องการมากขึ้น กลับมีส่วนแบ่งในการส่งออกเพียง 10% ซึ่งสวนทางกับจีนที่เพิ่มสัดส่วนส่งออกรถยนต์นั่งกลุ่ม xEV ขึ้นอย่างรวดเร็วสู่ 60% จากปีก่อนที่สัดส่วนส่งออกอยู่ที่ 49% (รูปที่ 4)

 
 
สะท้อนถึงปัญหาความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ปัจจุบันผลิตรถยนต์นั่งตอบโจทย์ตลาดโลกได้น้อยลง เห็นได้จากมูลค่าส่งออกรถยนต์นั่งจากจีนไปตลาดส่วนใหญ่มีการขยายตัวในอัตราที่สูงระหว่าง 12% (YoY) ถึง 148% (YoY) ตรงข้ามกับไทยที่ติดลบเกือบทุกตลาดระหว่าง 3% (YoY) ถึง 48% (YoY) เหลือเพียงแอฟริกาตลาดเดียวที่ยังขยายตัวได้ (รูปที่ 5)

 
 
 
ปิกอัพไทยแม้ยังไปต่อได้ แต่จีนเองก็เดินหน้าขยายตลาดแข่งเช่นกัน

ด้านการส่งออกรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กอย่างปิกอัพและรถตู้บรรทุกสินค้า แม้ภาพรวมยังขยายตัวได้ แต่การเริ่มหดตัวในตลาดหลักอย่างโอเชียเนียหากไม่ได้รับการแก้ไขอาจกระทบการส่งออกรวมของกลุ่มปิกอัพใน

อนาคต เนื่องจากโอเชียเนียเป็นตลาดอันดับ 1 ของไทย ที่มีส่วนแบ่งถึง 39% ของการส่งออกปิกอัพทั้งหมด และออสเตรเลียคู่ค้าสำคัญในกลุ่มนี้มีการเปลี่ยนมาตรฐานรถยนต์นำเข้าให้เข้มงวดขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งปิกอัพจากไทยบางส่วนไม่สามารถผ่านเกณฑ์ดังกล่าวได้ จึงส่งผลให้การส่งออกรถกลุ่มนี้ไปโอเชียเนียติดลบ 8% (YoY) สวนทางจีนที่ส่งออกได้เพิ่มถึง 183% (YoY) (รูปที่ 6) หลังจีนใช้ทั้งกลยุทธ์ราคาและเน้นส่งออกรถกลุ่มนี้ที่เป็น HEV และ PHEV ซึ่งสามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานรถยนต์นำเข้าใหม่ของออสเตรเลียได้

 
 
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันค่ายรถญี่ปุ่นในไทยเริ่มพัฒนาปิกอัพกลุ่ม xEV เพิ่มขึ้นแล้ว โดยเฉพาะที่เป็น BEV เพื่อตอบโจทย์ตลาดที่มีความเข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมอย่างสหภาพยุโรป หรือออสเตรเลีย ซึ่งอาจช่วยพยุงตลาดส่งออกเหล่านี้ได้บ้าง แต่ข้อจำกัดเรื่องราคาที่ยังสูงและระยะทางวิ่งที่ยังสั้นอาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่จำเป็นต้องพัฒนาต่อ

ส่วนตลาดอื่น แม้ไทยยังส่งออกได้ดี แต่การส่งออกจีนที่เร่งตัวสูงขึ้นกว่าไทยมาก โดยเฉพาะไปอาเซียน สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการขยายตลาดมายังกลุ่มปิกอัพและรถตู้บรรทุกสินค้าเพิ่มขึ้น และอาจกลายมาเป็นคู่แข่งของไทยในอนาคตเช่นเดียวกันกับรถยนต์นั่ง

ส่งออกรถไทยปี 69 อาจหดตัวต่อ 3% หลังยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดปริมาณรถยนต์ส่งออกของไทยในปี 2569 อาจลดลงแตะระดับ 9 แสนคัน หรือหดตัวต่อเนื่องกว่า 3% หลังจากปี 2568 นี้อาจทำได้ประมาณ 9.3 แสนคัน หรือหดตัวประมาณ 9% โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญในภาพรวมยังมาจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีน และจากประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ ที่ส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯ ได้ลดลง รวมถึงมาตรฐานรถยนต์นำเข้าใหม่ที่เข้มงวดขึ้น และความต้องการใช้รถยนต์ที่เปลี่ยนไปในหลายตลาดทั่วโลก อย่างไรก็ดี การส่งออกรถยนต์นั่งและปิกอัพของไทยอาจมีประเด็นเฉพาะที่ต้องพิจารณาแตกต่างกัน ดังนี้

· รถยนต์นั่ง

- แม้ตลาดต้องการรถยนต์นั่งกลุ่ม xEV เพิ่มขึ้น แต่การลงทุนผลิตในไทยเพื่อส่งออกยังไม่ชัดเจนนักในกลุ่ม HEV และ PHEV อาจเพราะค่ายรถญี่ปุ่นเองต้องรักษากำลังการผลิตในประเทศญี่ปุ่นด้วยหลังได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ

- การผลิตรถยนต์นั่ง BEV ในไทยเพื่อส่งออกแม้จะเพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังเน้นเพื่อรองรับตลาดในประเทศ ทำให้ไม่มีแรงส่งมากที่จะดันตลาดส่งออกรถยนต์ให้ฟื้นตัว

· ปิกอัพ

- ตลาดหลักปิกอัพไทยอย่างออสเตรเลีย แม้มาตรฐานการปล่อย CO2 ของรถยนต์นำเข้าจะเข้มงวดขึ้น แต่ผู้บริโภคยังไม่นิยมใช้ปิกอัพ BEV จากข้อจำกัดต่าง ๆ ในการใช้งาน ปิกอัพ HEV&PHEV จึงอาจเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์กว่า เห็นได้จากออสเตรเลียนำเข้าปิกอัพ HEV&PHEV สูงกว่าปิกอัพ BEV ถึง 12 เท่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ทำให้ปิกอัพ BEV ที่ไทยผลิตอาจยังไม่เป็นที่ยอมรับในระยะแรก

- แม้ความต้องการปิกอัพ ICE ปัจจุบันจะลดลงทุกภูมิภาค สวนทางปิกอัพ xEV ที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้น แต่ความจำเป็นต้องใช้ปิกอัพ ICE ยังมีอยู่ ดังนั้นนอกจากส่งเสริมพัฒนาปิกอัพ xEV แล้ว การเพิ่มขีดความสามารถของไทยเพื่อขึ้นเป็นฐานผลิตปิกอัพ ICE หลักของโลกยังจำเป็น โดยเฉพาะการลดต้นทุนให้แข่งขันกับจีนได้มากขึ้น และการขยายตลาดใหม่ผ่านกลไกต่าง ๆ ของภาครัฐและเอกชน

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 03 ธ.ค. 2568 เวลา : 17:18:48
04-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (4 ธ.ค.68) ลบ 1.05 จุด ดัชนี 1,273.77 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (4 ธ.ค.68) ลบ 1.62 จุดดัชนี 1,273.20 จุด

3. ตลาดหุ้นไทยเปิด (4 ธ.ค.68) บวก 5.60 จุด ดัชนี 1,280.42 จุด

4. ทองเปิดตลาดวันนี้ (4 ธ.ค. 68) ปรับขึ้น 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,400 บาท

5. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (4 ธ.ค.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 31.90 บาทต่อดอลลาร์

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (3 ธ.ค.68) บวก 11.70 ดอลลาร์ คาดเฟดลดดอกเบี้ยหลังจ้างงานอ่อนแอ

7. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (3 ธ.ค.68) พุ่ง 408.44 จุด ข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอลงหนุนคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย

8. พยากรณ์อากาศวันนี้ (4 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า มีฝนฟ้าคะนองในภาคอีสาน-ภาคตะวันออก-ภาคใต้

9. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.80-32.05 บาท/ดอลลาร์

10. MTS Gold คาดราคาทองคำในระยะสั้นกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ (Sideway) ระหว่าง 4,190 ถึง 4,235 เหรียญ

11. ตลาดหุ้นปิด (3 ธ.ค.68) ลบ 2.76 จุด ดัชนี 1,274.82 จุด

12. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (3 ธ.ค.68) ลบ 2.24 จุดดัชนี 1,275.34 จุด

13. MTS Gold คาดราคาทองคำได้กลับเข้าสู่สภาวะทรงตัว ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,190-4,170 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,250-4,270 เหรียญ

14. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (2 ธ.ค.68) ร่วง 54 ดอลลาร์ เหตุนักลงทุนแห่ขายทำกำไรหลังราคาพุ่งติดต่อกัน 6 วัน

15. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (3 ธ.ค.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 4, 2025, 5:30 pm