เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ "ปี 69 คาดมูลค่าการส่งออกกุ้งไทยหดตัว 3.6% ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4"


ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า มูลค่าการส่งออกกุ้งของไทยในปี 2569 จะอยู่ที่ 1,075 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว 3.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากอุปสงค์กุ้งในประเทศคู่ค้าหลักมีทิศทางลดลง ตามภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ผลกระทบจากภาษี Reciprocal Tariffs ที่ชัดเจนมากขึ้นเต็มปี รวมถึงเผชิญการแข่งขันรุนแรงกับคู่แข่งสำคัญ โดยเฉพาะเอกวาดอร์ และอินโดนีเซีย 
 
• แนวโน้มการส่งออกกุ้งของไทย ยังเผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขัน จากทั้งปริมาณผลผลิตที่ปรับเพิ่มได้ยาก ต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าคู่แข่ง รวมถึงการแข่งขันด้านราคาที่เข้มข้นขึ้นจากสงครามการค้า

ปี 2569 คาดมูลค่าการส่งออกกุ้งของไทยยังหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากความต้องการในตลาดโลกที่อ่อนแอ และเผชิญการแข่งขันรุนแรง 
 
ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีอุตสาหกรรมกุ้งครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ซึ่งปริมาณผลผลิตกุ้งของไทย 15% เป็นการบริโภคภายในประเทศ ส่วนที่เหลืออีก 85% ถูกใช้เพื่อการส่งออก โดยปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกกุ้งอันดับ 6 ของโลก 
 
สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ กุ้งสด แช่เย็นแช่แข็ง และกุ้งแปรรูป (รวมกุ้งกระป๋อง) ซึ่งมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และจีน ที่มีส่วนแบ่งในมูลค่าการส่งออกรวมกันกว่า 75% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งของไทยทั้งหมด (รูปที่ 1) ทั้งนี้ สัดส่วนการส่งออกจะแตกต่างกันในแต่ละประเทศ สำหรับตลาดญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ไทยเน้นส่งออกกุ้งแปรรูป ขณะที่ ตลาดจีน ไทยส่งออกกุ้งสด แช่เย็นแช่แข็งเป็นหลัก (รูปที่ 2)

 
 
ในปี 2569 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า มูลค่าการส่งออกกุ้งของไทยจะอยู่ที่ราว 1,075 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัวที่ 3.6% ต่อเนื่องจากปี 2568 ที่หดตัว 1.7% (รูปที่ 3) โดยเป็นผลมาจากความต้องการในประเทศคู่ค้าหลักอย่างญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อ สะท้อนจากการบริโภคอาหารทะเลต่อหัวในปีหน้าของทั้ง 2 ตลาดคาดว่าจะหดตัว 0.4% และ 0.2% ตามลำดับ ท่ามกลางแรงกดดันจากการแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ซึ่งแต่ละสินค้ามีรายละเอียดแตกต่างกันไป ดังนี้
 
กุ้งสด แช่เย็นแช่แข็ง ที่มีสัดส่วนราว 52% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งทั้งหมด ในปี 2569 คาดว่าการส่งออกไปยังตลาดหลักอย่างญี่ปุ่น และสหรัฐฯ จะยังหดตัว จากการหันไปนำเข้ากุ้งแปรรูปทดแทน ตามความนิยมบริโภคอาหารพร้อมทานที่มีมากขึ้น รวมถึงต้องแข่งขันกับคู่แข่งหลักอย่างเอกวาดอร์ที่มีต้นทุนการผลิตรวมต่ำกว่าไทย 50-60%  ขณะที่ ตลาดส่งออกอันดับ 1 อย่างจีนน่าจะยังเติบโตได้ ตามความต้องการในประเทศที่ฟื้นตัว รวมถึงการขยายตลาดใหม่ในจีนสำหรับสินค้า Premium อย่างกุ้งกุลาดำ และกุ้งก้ามกราม 
 
กุ้งแปรรูป ที่มีสัดส่วนราว 48% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งทั้งหมด ในปี 2569 คาดว่าความต้องการในตลาดคู่ค้าสำคัญอย่างญี่ปุ่น และสหรัฐฯ  จะพลิกกลับมาหดตัว จากผลของฐานสูงในปี 2568 ที่มีการเร่งนำเข้า (Frontloading) รวมถึงแรงกดดันจาก Reciprocal Tariffs ที่จะเห็นผลชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ดี การส่งออกไปยังตลาดศักยภาพใหม่ อาทิ จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ แม้ส่วนแบ่งตลาดยังน้อย แต่คาดว่าจะขยายตัวได้ ตามความต้องการบริโภคกุ้งแปรรูปที่เพิ่มขึ้น สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกของไทยไปยังตลาดเหล่านี้ยังโตเฉลี่ยมากกว่า 10% ต่อปี (CAGR 2563-2567) 
 
 

 
 
แนวโน้มการส่งออกกุ้งของไทย ยังเผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ทั้งจากต้นทุนการผลิตสูง และผลของ Reciprocal Tariffs
 
ในอดีต ไทยเคยเป็นผู้ส่งออกกุ้งอันดับ 1 ของโลก แต่ปัจจุบัน พบว่าสัดส่วนมูลค่าการส่งออกของไทยในตลาดโลกปรับลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2567 สัดส่วนเหลือเพียง 4% (รูปที่ 4) เนื่องจากเกิดโรคระบาดกุ้งตั้งแต่ปี 2555 ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตลดลงจาก 6.4 แสนตันต่อปี เหลือเพียง 2.7 แสนตันต่อปี ซึ่งแม้สถานการณ์โรคระบาดจะปรับดีขึ้น แต่ฟาร์มเลี้ยงกุ้งยังมีต้นทุนจากการควบคุมโรคเพิ่ม ประกอบกับการแข่งขันรุนแรงในตลาดโลก ทำให้เกษตรกรรายย่อยบางส่วนต้องชะลอหรือเลิกเลี้ยงไป
 
นอกจากปัญหาด้านการผลิตแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะข้างหน้ามาจาก 2 ประเด็นหลัก 
 
 

 
 
1) ต้นทุนการผลิตกุ้งของไทยสูง ส่งผลให้ราคาส่งออกกุ้งเฉลี่ยของไทยในตลาดโลกแพงกว่าคู่แข่ง (รูปที่ 5) โดยเฉพาะอินเดีย และเอกวาดอร์ ซึ่งมีความได้เปรียบไทยทั้งเรื่อง 1) ปริมาณผลผลิตที่มีมากกว่าไทย 2-5 เท่า จากการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิต ประกอบกับลักษณะการเลี้ยงที่เป็นฟาร์มขนาดใหญ่ การเลี้ยงไม่แออัด ทำให้สามารถควบคุมโรคระบาดได้ดีกว่า 2) ต้นทุนการเลี้ยงถูกกว่า เช่น ค่าแรง ค่าไฟฟ้า และค่าอาหารกุ้งอย่างกากถั่วเหลืองที่ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าในสัดส่วนสูง รวมถึงไทยยังมีต้นทุนแฝงจากต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการเลี้ยง/ควบคุมโรคที่เข้มงวดกว่า
 
2) Reciprocal Tariffs จะยิ่งกระทบความสามารถในการแข่งขันของไทยมากขึ้น ก่อนมาตรการภาษีทรัมป์ 2.0 ไทยสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ จากไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้มาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับการถูกตัดสิทธิ์ GSP  ตั้งแต่ปี 2563 ทำให้บางสินค้ากุ้งแปรรูปของไทยต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราปกติ (MFN) สูงสุดถึง 5% ส่งผลให้สัดส่วนมูลค่าการนำเข้ากุ้งจากไทยในตลาดสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่องจาก 9% ในปี 2561 เหลือเพียง 5% ในปี 2567 (รูปที่ 6)

 
หลังมาตรการภาษีทรัมป์ 2.0 แม้ไทยจะมีโอกาสในการแย่งส่วนแบ่งตลาดอินเดียที่เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของสหรัฐฯ หลังโดน Reciprocal Tariffs สูงถึง 50% แต่ก็ยังต้องแข่งกับเอกวาดอร์ และอินโดนีเซียที่หลังคิดภาษีทั้งหมดแล้ว ราคานำเข้ากุ้งจากไทยยังแพงกว่าประเทศเหล่านี้ราว 49% และ 27% ตามลำดับ (ตารางที่ 1) ขณะเดียวกัน ไทยยังเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จากการแข่งขันรุนแรงในตลาดส่งออกอื่น โดยเฉพาะในจีนและญี่ปุ่น ที่หลายประเทศพยายามเพิ่มสัดส่วนการส่งออกทดแทนตลาดสหรัฐฯ 
 

ประเด็นกระทบการส่งออกกุ้งของไทยอื่นๆ ที่ต้องติดตาม

- สถานการณ์โรคระบาดในกุ้งที่ยังมีอยู่ สะท้อนจากผลผลิตกุ้งของไทยที่หดตัวเฉลี่ยปีละ 1.2% (CAGR 2561-2567) เป็นผลให้ปริมาณผลผลิตกุ้งเพื่อการส่งออกมีไม่เพียงพอ ซึ่งในบางช่วงเวลาไทยต้องนำเข้ากุ้งมาป้อนโรงงานเพื่อชดเชยผลผลิตที่ลดลง ทำให้การควบคุมต้นทุนการผลิตของผู้แปรรูปผลิตภัณฑ์กุ้งจึงทำได้ยาก
 
- ต้นทุนค่าอาหารกุ้งยังผันผวนและมีทิศทางสูงขึ้น ต้นทุนส่วนนี้มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของต้นทุนการผลิตรวมทั้งหมด โดยเฉพาะปลาป่นที่เป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 36 บาท/กก. (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พ.ย. 2568) เพิ่มจากต้นปีที่ 29 บาท/กก. หรือเพิ่มขึ้นราว 24% จึงส่งผลกดดันอัตรากำไรของผู้ส่งออกกุ้ง
 
- การแข็งค่าของเงินบาท อาจซ้ำเติมความสามารถในการแข่งขัน โดยปัจจุบัน ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีทิศทางแข็งค่าขึ้นแล้ว 6.7% (ข้อมูล ณ วันที่ 3 ธ.ค. 2568) สวนทางกับ เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย ที่ค่าเงินมีทิศทางอ่อนค่า ทำให้ราคาส่งออกกุ้งของไทยในรูปสกุลเงินดอลลาร์ฯ แพงขึ้นโดยเปรียบเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ
 
- การปรับตัวด้าน ESG เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก เช่น การได้รับมาตรฐาน ASC (Aquaculture Stewardship Council) ขณะที่ ปัจจุบันฟาร์มเลี้ยงกุ้งของไทยที่ได้รับมาตรฐานดังกล่าวมีไม่ถึง 1% ของฟาร์มเลี้ยงกุ้งทั้งหมด ส่งผลให้ผู้ส่งออกกุ้งต้องปรับตัวตลอดห่วงโซ่การผลิตเพื่อตอบโจทย์คู่ค้าที่เข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ EU และญี่ปุ่น 
 
ทิศทางการส่งออกที่หดตัวในปีหน้า ส่งผลให้ผู้ส่งออกกุ้งของไทยต้องเร่งยกระดับประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุน (เช่น เปลี่ยนวิธีเลี้ยงสู่ระบบปิด ใช้เทคโนโลยีติดตามสุขภาพ ปรับปรุงสายพันธุ์กุ้ง) พัฒนาสินค้าเจาะตลาด Premium โดยเฉพาะสินค้าแปรรูปและพร้อมทานที่เป็นจุดแข็ง รวมถึงมองหาตลาดศักยภาพใหม่ ที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง เช่น ตะวันออกกลาง (สินค้าฮาลาล) และ EU (สินค้า Green) 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 04 ธ.ค. 2568 เวลา : 18:12:14
08-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (4 ธ.ค.68) ลบ 1.05 จุด ดัชนี 1,273.77 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (4 ธ.ค.68) ลบ 1.62 จุดดัชนี 1,273.20 จุด

3. ตลาดหุ้นไทยเปิด (4 ธ.ค.68) บวก 5.60 จุด ดัชนี 1,280.42 จุด

4. ทองเปิดตลาดวันนี้ (4 ธ.ค. 68) ปรับขึ้น 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,400 บาท

5. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (4 ธ.ค.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 31.90 บาทต่อดอลลาร์

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (3 ธ.ค.68) บวก 11.70 ดอลลาร์ คาดเฟดลดดอกเบี้ยหลังจ้างงานอ่อนแอ

7. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (3 ธ.ค.68) พุ่ง 408.44 จุด ข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอลงหนุนคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย

8. พยากรณ์อากาศวันนี้ (4 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า มีฝนฟ้าคะนองในภาคอีสาน-ภาคตะวันออก-ภาคใต้

9. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.80-32.05 บาท/ดอลลาร์

10. MTS Gold คาดราคาทองคำในระยะสั้นกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ (Sideway) ระหว่าง 4,190 ถึง 4,235 เหรียญ

11. ตลาดหุ้นปิด (3 ธ.ค.68) ลบ 2.76 จุด ดัชนี 1,274.82 จุด

12. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (3 ธ.ค.68) ลบ 2.24 จุดดัชนี 1,275.34 จุด

13. MTS Gold คาดราคาทองคำได้กลับเข้าสู่สภาวะทรงตัว ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,190-4,170 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,250-4,270 เหรียญ

14. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (2 ธ.ค.68) ร่วง 54 ดอลลาร์ เหตุนักลงทุนแห่ขายทำกำไรหลังราคาพุ่งติดต่อกัน 6 วัน

15. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (3 ธ.ค.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 8, 2025, 1:11 am