เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
KKP Research ยกธงแดงอุตสาหกรรมไทย เตือนรีบเปลี่ยนผ่านก่อนสายไป


 

วันที่ประเทศกำลังพัฒนาเริ่มหยุดโต
 
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่าช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะตั้งแต่หลังวิกฤตโควิด-19 เริ่มมีปรากฎการณ์หนึ่งที่น่าสนใจ คือ เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาเติบโตช้าลง และคาดว่าจะโตช้าลงอีกเมื่อเทียบกับในอดีตและเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเศรษฐกิจไทยเป็นหนึ่งในนั้นจากข้อมูลล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในเดือนตุลาคม 2025 คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้วจะโตได้ใกล้เคียงเดิมจากเฉลี่ย ที่ 1.6% ในปี 2024  เป็น 1.5% ในปี 2030 ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาจะเติบโตลดลงจาก 4.8% เหลือเพียง 3.8% โดยปกติแล้วนักเศรษฐศาสตร์จะมีความเชื่อว่าประเทศกำลังพัฒนาควรจะเติบโตได้เร็วกว่าประเทศพัฒนาแล้ว จากฐานที่ต่ำกว่า โอกาสในการเพิ่มผลิตภาพที่มากกว่า โอกาสในการสะสมทุนเพิ่มเติม และแนวโน้มของประชากรที่ยังเติบโตและสามารถเพิ่มผลิตภาพได้

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่เกิดขึ้นในระยะหลังสร้างความกังวลว่า เศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาจะไม่สามารถ “ไล่ทัน” หรือ “catch up” ประเทศพัฒนาแล้วได้เพราะประเทศกำลังพัฒนามีแนวโน้มโตช้าลงในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมีแนวโน้มโตดีขึ้นต่อเนื่อง คำถามที่น่าสนใจ คือ ทำไมปรากฎการณ์นี้จึงเกิดขึ้น และประเทศกำลังพัฒนาจะมีทางออกในการพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปอย่างไร

 
จาก “เกษตร” สู่ “อุตสาหกรรม” และ “บริการ”
 
ย้อนกลับไปที่โมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจในอดีต ซึ่งสามารถแบ่งเศรษฐกิจออกเป็น 3 ส่วนตามมูลค่าเพิ่มของเศรษฐกิจหรือการจ้างงาน ได้แก่ ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ พัฒนาการของแต่ละภาคเศรษฐกิจจะเป็นตัวแบ่งระดับการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมออกเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่ 1. สังคมเกษตร หรือเศรษฐกิจขั้นปฐมภูมิ (Primary Economy) เป็นระบบเศรษฐกิจที่เน้นในแรงงานเป็นปัจจัยการผลิตหลักโดยมีการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมสูงที่สุด 2. สังคมภาคอุตสาหกรรม หรือ เศรษฐกิจขั้นทุติยภูมิ (Secondary Economy) เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีการใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรมาทดแทนแรงงานมากขึ้น ทุนกลายเป็นปัจจัยการผลิตหลัก แรงงานภาคเกษตรลดลงและย้ายเข้ามาอยู่ในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นและอาศัยโมเดลการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นเครื่องจักรหลักของเศรษฐกิจ 3. สังคมภาคบริการ หรือ เศรษฐกิจขั้นตติยภูมิ (Tertiary Economy) เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีสัดส่วนภาคอุตสาหกรรมลดลง หรือที่เรียกว่ากระบวนการ Deindustrialization เพราะรายได้แรงงานสูงขึ้นจนแข่งขันได้ยากขึ้น แรงงานส่วนใหญ่ย้ายไปทำงานในภาคบริการหรือเทคโนโลยีที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและย้ายส่วนของการผลิตจริงกลับไปยังประเทศเศรษฐกิจทุติยภูมิแทน

ในอดีตการพัฒนาเศรษฐกิจโลกรวมทั้งไทยอาศัยการเติบโตจากช่วงการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก โดยภาคอุตสาหกรรมมักเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีการเติบโตเร็วกว่าภาคเศรษฐกิจอื่น เนื่องจากลักษณะสำคัญคือเป็นสินค้าที่สามารถค้าขายระหว่างประเทศได้ (Tradable) ทำให้เกิดแรงกดดันในการพัฒนาศักยภาพจากการแข่งขันจากต่างประเทศ และลักษณะธุรกิจมักได้ประโยชน์จากการประหยัดต้นทุนเมื่อผลิตสินค้าจำนวนมากขึ้น (Economies of Scale)  ภาคอุตสาหกรรมจึงเป็นความหวังของประเทศกำลังพัฒนาในการเพิ่มรายได้ต่อหัวให้สูงทันกับประเทศพัฒนาแล้ว

กระบวนการหดตัวของภาคอุตสาหกรรมของประเทศกำลังพัฒนาในปัจจุบันที่เกิดขึ้นเร็วกว่าประเทศพัฒนาแล้วในอดีต หรือเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศเหล่านี้ยังพัฒนาอยู่ในระดับรายได้ปานกลาง เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่อธิบายว่าทำไมประเทศกำลังพัฒนาถึงเริ่มเติบโตช้าลงในระยะหลังและเริ่มมีรายได้ที่ห่างจากประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้น โดยประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์คล้ายคลึงกันจากข้อมูลพบว่าผลิตภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยอยู่ในระดับสูงกว่าภาคบริการและภาคเกษตร
 

 
ภาคอุตสาหกรรมไทยหดตัวเร็วเกินไป
 
จากโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจดังกล่าว แม้การหดตัวของภาคอุตสาหกรรมเป็นหนึ่งในกระบวนการปกติของการพัฒนา แต่ในกรณีของประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศและไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากแนวโน้มนี้ คือ

1) การเข้าสู่ Deindustrialization เกิดขึ้นตอนระดับรายได้ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วในอดีต สำหรับประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาข้อมูลเริ่มชี้ให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมกำลังหดตัวงอย่างรวดเร็ว หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้จะพบว่าภาคอุตสาหกรรมไทยเคยเติบโตได้เร็วกว่าประเทศอื่นในช่วงทศวรรษ 1980 – 2000 แต่ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมาก็เริ่มหดตัวลง ซึ่งสอดคล้องกับไปประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในเอเชีย ขณะที่ในช่วงหลังโควิด-19 เป็นต้นมา เป็นช่วงที่ภาคอุตสาหกรรมไทยเริ่มหดตัวเร็วกว่าประเทศอื่น ๆ

นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับรายได้ต่อหัวจะพบว่าภาคอุตสาหกรรมไทยเริ่มหดตัวในช่วงรายได้ที่ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วในเอเชียอย่างเกาหลีใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น หรือมาเลเซียที่กำลังจะเป็นประเทศรายได้สูง และหดตัวลงมากกว่าประเทศอื่นอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย

2) ผลิตภาพแรงงานในภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ชะลอตัวลงเร็วในระยะหลัง  และมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ แม้การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมจะมีส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน อย่างไรก็ตามในช่วงหลังผลิตภาพแรงงานของไทยกลับเริ่มโตช้ากว่าประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะหลังโควิด-19 

ในมิติของตลาดแรงงานพบว่า สัดส่วนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมไทยยังน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ ในช่วงระดับรายได้เดียวกัน โดยอยู่เพียง 15% ของแรงงานทั้งหมด เทียบกับ 25 – 30% ซึ่งเป็นสัญญาณว่าบอกว่า ภาคอุตสาหกรรมเริ่มหดตัวก่อนที่การถ่ายทอดเทคโนโลยีและผลต่อผลิตภาพแรงงานที่สูงขึ้น จะเกิดขึ้นเต็มที่เหมือนในประเทศพัฒนาแล้ว

แนวโน้มทั้งหมดนี้กำลังสะท้อนว่าภาคอุตสาหกรรมไทยอาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และด้วยขนาดของภาคอุตสาหกรรมที่ใหญ่ในเศรษฐกิจไทย เมื่อเริ่มหดตัวก็เป็นสาเหตุที่เศรษฐกิจในช่วงหลังโควิด-19 เป็นต้นมาเติบโตได้ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด

 
เมื่อ “เทคโนโลยี” ยุคใหม่ ทำให้ตลาดเกิดใหม่ได้ประโยชน์จาก “โลกาภิวัตน์” ลดลง
 
คำอธิบายว่าทำไมการหดตัวของภาคอุตสาหกรรมถึงเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ควรจะเป็นในประเทศกำลังพัฒนาและกำลังพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ มาจากบทความล่าสุดของ Dani Rodrik นักเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อธิบายทฤษฎีที่น่าสนใจว่าการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยียุคใหม่อาจทำให้ประโยชน์ที่ประเทศต่าง ๆ ได้จากกระแสโลกาภิวัตน์เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีตลดลงและทำให้ประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถยึดโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจแบบเดิมได้

กระบวนการโลกาภิวัฒน์และพัฒนาการด้านเทคโนโลยี เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ให้เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็วผ่าน “อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก” โดยปกติแล้วการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของประเทศรายได้น้อยมักเริ่มพัฒนาจากภาคอุตสาหกรรม ที่ไม่ซับซ้อนและใช้สัดส่วนแรงงานสูงเป็นหลัก ก่อนจะค่อย ๆ ไต่ระดับอุตสาหกรรมให้ซับซ้อนมากขึ้น มีการใช้ทุนและเทคโนโลยีมากขึ้นเป็นลำดับโดยกระแสโลกาภิวัตน์ในช่วงหลายทศวรรษเอื้อให้เกิดการยกระดับเศรษฐกิจอย่างมากจากการพัฒนาของ “ห่วงโซ่อุปทานโลก” และการใช้ประโยชน์จากความถนัดและทรัพยากรของแต่ละประเทศ

สำหรับเศรษฐกิจไทย ได้อาศัยประโยชน์จากโลกาภิวัฒน์อย่างเต็มที่เช่นกัน กระแสโลกาภิวัตน์ที่ได้ช่วยหนุนเสริมเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมไทยสอดคล้องไปกับการเปิดประตูสู่ตลาดโลกของโทย โดยเฉพาะในช่วงหลังจากปี 2001 ที่จีนเข้าร่วม WTO และเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งไทยก็ได้เป็นเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการนั้นเช่นเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยเติบโตจากประเทศยากจนเข้าสู่ประเทศรายได้ปานกลางได้ เริ่มต้นจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ในช่วงทศวรรษ 1980 – 1990 ด้วยการย้ายฐานการผลิตจากญี่ปุ่น รวมไปถึงการขุดพบแหล่งก๊าซธรรมชาติ ที่สุดท้ายนำมาสู่ 3 อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของไทยในปัจจุบัน คือ อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมรถยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีปัจจัยสำคัญที่ทำให้การ “ไต่บันได” การผลิตแบบอดีตทำได้ยากขึ้นและต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงขึ้น คือ 1) เทคโนโลยีการผลิตสินค้าที่ก้าวหน้ามากขึ้นในปัจจุบันและต้องการแรงงานทักษะต่ำลดลงเรื่อย ๆ  2) โครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกที่ซับซ้อนมากขึ้นก็เพิ่มการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมระหว่างประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น

บทบาทการดูดซับแรงงานของภาคอุตสาหกรรมในฐานะภาคเศรษฐกิจที่จะยกระดับผลิตภาพของแรงงานอย่างในอดีตเริ่มลดลง ในทางตรงข้าม ผลิตภาพแรงงานของประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่แท้จริง กลับเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และทำให้ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของภาคอุตสาหกรรมในประเทศกำลังพัฒนาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ต้องแข่งขันกันมากขึ้น และนำไปสู่การหดตัวของภาคอุตสาหกรรมที่เร็วขึ้นในที่สุด

 
ปัจจัยเชิงโครงสร้างเร่งให้ไทยเข้าสู่ “Deindustrialization” เร็วกว่าในอดีต
 
KKP Research ประเมินว่าสาเหตุที่ทำให้การหดตัวของภาคอุตสาหกรรมไทยเร่งตัวขึ้น เกิดจาก 2 แนวโน้มสำคัญของโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ได้แก่ 1) โลกาภิวัตน์ย้อนกลับ (Deglobalization) และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีน การชะลอตัวลงของโลกาภิวัตน์สะท้อนชัดเจนจากการค้าโลกต่อขนาดเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวลงและแนวโน้มสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นทำให้การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมโดยอาศัยการส่งออกทำได้ยากขึ้น

นอกจากนี้ในปัจจุบันจีนยังก้าวขึ้นเป็นคู่แข่งสำคัญของภาคการผลิตทั่วโลกรวมทั้งไทย เนื่องจากจีนมีกำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมากโดยปัจจุบันการผลิตจีนคิดเป็นมากกว่า 30% ของการผลิตสินค้าทั้งโลก โดยจีนไม่สามารถขายสินค้าในประเทศได้จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯจากปัญหาสงครามการค้า ส่งผลให้จีนมีการส่งออกสินค้าราคาถูกไปยังประเทศต่าง ๆ และไทยเริ่มขาดดุลการค้ากับจีนมาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลังโควิด-19 หรือมากขึ้นประมาณ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี

2) การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีครั้งสำคัญกำลังกดดันภาคอุตสาหกรรมไทยมากขึ้น โครงสร้างการผลิตไทยมีความเปราะบางกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโลกค่อนข้างมาก ตัวอย่างที่สำคัญ คือ อุตสาหกรรมรถยนต์จากเดิมที่ไทยอาศัยเทคโนโลยีของญี่ปุ่นเป็นฐานการผลิตมาอย่างยาวนาน ในปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าของจีนกำลังเข้ามาตีตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาฐานการผลิตจากไทยอีกต่อไป ปัจจุบันจีนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ในไทยเกือบ 20% ในปัจจุบันคือรถยนต์ไฟฟ้า เทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ที่อยู่ในระดับ 10% เท่านั้น

ภาพคล้าย ๆ กันนี้ก็กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ที่เผชิญความท้าทายจากกระแสพลังงานสะอาดในปัจจุบัน หรืออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและฐานการผลิตบางส่วนถูกย้ายไปยังประเทศที่มีแรงงานราคาถูกกว่าไทย

ประเทศไทยไม่ต้องมีภาคการผลิตได้หรือไม่?
 
คำถามต่อมา คือ เมื่อภาคอุตสาหกรรมไทยไม่สามารถดูดซับแรงงานหรือยกระดับรายได้อย่างในอดีตอีกต่อไป โครงสร้างของเศรษฐกิจไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร? หรือทางออกของเศรษฐกิจไทยอาจจะไม่ต้องพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมอีกต่อไปแล้ว?

เมื่อพิจารณาข้อมูลย้อนกลับไปจะพบว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยได้ทยอยเปลี่ยนแปลงมาระยะหนึ่งแล้ว โดยเห็นการเปลี่ยนแปลงผ่านทั้งการหดตัวลงของภาคการผลิตและการขยายตัวของภาคบริการจากภาคการท่องเที่ยว ความสำคัญที่มากขึ้นของภาคบริการมาทดแทนภาคอุตสาหกรรมเห็นได้ชัดจากทั้งในมิติของ (1) แรงส่งต่อการเติบโตของ GDP (Contribution to growth) ที่ในช่วงปี 2011 – 2019 แรงส่งจากภาคบริการ คือ 3.2ppt เทียบกับภาคการผลิตที่ 0.5ppt (2) สัดส่วนของขนาดเศรษฐกิจ โดยสัดส่วนของภาคบริการต่อขนาดเศรษฐกิจทั้งหมดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากประมาณ 55% ในปี 2011 เป็น 62% ในปัจจุบัน และ (3) ในมิติของตลาดแรงงาน  โดยในช่วงที่ผ่านมาที่แรงงานสามารถย้ายไปยังภาคบริการได้ โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวที่อาศัยกระแสนักท่องเที่ยวจีนที่ขยายตัวขึ้นเร็ว ในช่วงหลังปี 2012 เป็นต้นมา แม้ว่ามูลค่าเพิ่มและผลิตภาพของแรงงานในภาคท่องเที่ยวอาจไม่สูงมากนักแต่ยังสูงกว่าภาคเกษตรและชดเชยการหดตัวของภาคอุตสาหกรรมได้บ้างในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนภาคอุตสาหกรรมอาจไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว จากหลายเหตุผล  เพราะการแข่งกันดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกอ่อนแอลงของทุกประเทศ โดยมีจีนเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญด้วยมาตรการฟรีวีซ่าของจีนไปยังนักท่องเที่ยวทั่วโลก ส่งผลให้ล่าสุดคนไทยในปี 2024 หันไปเที่ยวจีนมากขึ้นประมาณ 3 เท่าเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 จากประมาณ 5 แสนคนต่อปี เป็นมากกว่า 2 ล้านคนในปีที่ผ่านมาและคาดว่าในปีนี้จะแตะถึง 3 ล้านคนในปีนี้ ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทยลดลงอย่างมีนัยวสำคัญเหลือเพียง 40% ของช่วงก่อนโควิด-19 เท่านั้นในปี 2025

แนวโน้มทั้งหมดนำมาสู่คำถามที่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันนี้หากเศรษฐกิจไทยไม่มีภาคอุตสาหกรรมอยู่แล้วและภาคการท่องเที่ยวไม่สามารถขยายตัวได้ดีเหมือนเดิม หรือหากภาคอุตสาหกรรมไทยไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้จริงภาครัฐควรทำอย่างไร KKP ประเมินว่าสถานการณ์ปัจจุบันไทยยังไม่พร้อมในการทิ้งให้ภาคอุตสาหกรรมหายไปทันทีจากหลายเหตุผล คือ

1) ภาคบริการที่ไทยพึ่งพาแทนภาคอุตสาหกรรมเป็นบริการมูลค่าเพิ่มต่ำ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ซึ่งโดยปกติมักมีระดับรายได้ต่อหัวเฉลี่ยที่ต่ำกว่าภาคอุตสาหกรรม และลักษณะของภาคบริการเป็นภาคบริการที่ให้บริการเฉพาะในประเทศและไม่สามารถส่งออกหรือขยายกิจการให้มีขนาดใหญ่ขึ้นได้แบบการส่งออกสินค้า โดยจะพบว่าภาคบริการส่วนใหญ่ในไทยเป็นบริการแบบเก่าต่างจากบริการในประเทศพัฒนาแล้ว

2) ภาคบริการโดยปกติมีการเติบโตของผลิตภาพที่ต่ำกว่าภาคการผลิต เนื่องจากภาคบริการส่วนใหญ่เป็น Non-tradable goods และไม่มีแรงกดดันในการแข่งขันจากต่างประเทศ ทำให้ความจำเป็นในการพัฒนาผลิตภาพมีไม่มาก

3) ไทยขาดแรงงานทักษะสูงที่พร้อมต่อการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจสู่ภาคบริการมูลค่าเพิ่มสูง แม้ว่าภาคบริการหลายกลุ่มในสมัยใหม่จะมีลักษณะที่สามารถเติบโตและส่งออกไปยังต่างประเทศได้ ตัวอย่างเช่น การให้บริการทางการเงิน การให้บริการด้านคำแนะนำทางกฎหมาย แต่ประเทศไทยไม่มีความพร้อมจากทั้งแรงงานทักษะสูงที่อยุ่ในระดับต่ำและความสามารถในการดึงดูดแรงงานทักษะสูงที่ไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้

นอกจากนี้การปล่อยให้ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมดหายไป อาจเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดโดยในทางปฏิบัติภาครัฐควรพิจารณาสาเหตุของการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรมผ่านการศึกษาเชิงลึก เพื่อแยกกลุ่มว่าอุตสาหกรรมใดไม่สามารถแข่งขันได้ หรืออุตสาหกรรมใดยังมีศักยภาพในการแข่งขันได้และมีนโยบายส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวและพัฒนานวัตกรรมอย่างเหมาะสมในระยะยาว รวมทั้งตั้งเป้าหมายในการดึงดูดการลงทุนทางตรงในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ โดยเน้นเป้าหมายที่อุตสาหกรรมที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจในประเทศได้มาก

ในมุมกลยุทธ์การพัฒนา KKP ประเมินว่าไทยไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะพัฒนาภาคอุตสาหกรรมหรือภาคบริการแต่สามารถพัฒนาควบคู่กันไปได้ ซึ่งในหลายประเทศมีภาคบริการและการท่องเที่ยวที่โตไปพร้อมกับภาคอุตสาหกรรม

3 กลยุทธ์ภาครัฐไทย เตรียมรับมือช่วงเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจ
ทางออกสำหรับปัญหานี้ คือ เศรษฐกิจต้องคิดอย่างจริงจังถึงโมเดลการพัฒนาใหม่ที่ไปมากกว่าการผลิตเพื่ออาศัยตลาดส่งออกตามแบบเดิม KKP มีข้อเสนอแนะว่ามีนโยบาย 3 ด้านที่ภาครัฐไทยต้องเร่งดำเนินการในปัจจุบัน

ด้านแรก คือ การทำความเข้าใจภาคอุตสาหกรรมและหานโยบายช่วยชะลอตัวหดตัวของภาคอุตสาหกรรมในกลุ่มที่ยังมีศักยภาพ โดยเน้นความเข้าใจในมิติความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

ด้านที่สอง คือ การหาเครื่องยนต์ใหม่ทดแทนอุตสาหกรรมเดิมที่กำลังชะลอตัวลง โดยแบ่งเป็นทั้งนโยบายดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศที่เน้นอุตสาหกรรมที่สร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจจริง และพิจารณานโยบายส่งเสริมทางเลือกในการเติบโตใหม่ ๆ โดยเฉพาะพัฒนาอุตสาหกรรมชั้นสูงและบริการมูลค่าเพิ่มสูงที่เป็นตัวนำการเติบโตได้ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจ IT Outsourcing / Software engineering ในอินเดีย ธุรกิจ Finance / Tech services ในสิงคโปร์ ธุรกิจ IT Export ใน Ireland โดยต้องทำการศึกษาอย่างจริงจังว่าไทยมีโอกาสสร้างความสามารถการแข่งขันในด้านใด

ด้านที่สาม คือ การเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ภาคเศรษฐกิจใหม่ได้จริง ทั้งในมิติของแรงงานที่ต้องพัฒนาคุณภาพการศึกษา นโยบายปรับปรุงคุณภาพแรงงาน พิจารณาผ่อนคลายการเคลื่อนย้ายแรงงานที่มีทักษะจากต่างประเทศ และการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานด้านความง่ายในการทำธุรกิจ ลดการคอร์รัปชัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของภาครัฐ

ในสภาพแวดล้อมโลกที่เปลี่ยนไป การหวังพึ่งพาเครื่องจักรเดิม ๆ ในการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป และหากไทยไม่เตรียมพร้อมรับมือให้ดีเรากำลังจะเจอกับสถานการณ์ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจกำลังแย่ลงเรื่อย ๆ พร้อมกับปัจจัยเชิงโครงสร้างในประเทศที่ยังกดดันศักยภาพของเศรษฐกิจอยู่ ถึงเวลาแล้วที่เราควรต้องช่วยกันคิดอย่างจริงจังว่าทางออกของเศรษฐกิจไทยในทศวรรษหน้าคืออะไร

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 08 ธ.ค. 2568 เวลา : 15:09:20
08-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (8 ธ.ค.68) ลบ 12.38 จุด ดัชนี 1,261.39 จุด

2. ประกาศ กปน.: 11 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนลาดกระบัง

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (8 ธ.ค.2568) ลบ 4.39 จุด ดัชนี 1,269.38 จุด

4. ทีทีบี คาดแนวโน้มเงินบาทสัปดาห์นี้แข็งค่า รับแรงหนุนจากดอลลาร์อ่อน ตลาดคาดเฟดลดดอกเบี้ย

5. กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 31.80-32.35 มองเฟดลดดอกเบี้ย ลุ้นโทนสื่อสาร

6. พยากรณ์อากาศวันนี้ (8 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบน มีอากาศเย็นลง กับมีลมแรง อุณหภูมิลดลง 1-3 องศา

7. ทองเปิดตลาดวันนี้ (8 ธ.ค. 68) "คงที่" ทองรูปพรรณ ขายออก 64,300 บาท

8. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (8 ธ.ค.68) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 31.94 บาทต่อดอลลาร์

9. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.80 - 32.05 บาท/ดอลลาร์

10. ตลาดหุ้นไทยเปิด (8 ธ.ค.68) บวก 1.48 จุด ดัชนี 1,275.25 จุด

11. MTS Gold คาดราคาทองคำคงแสดงความผันผวนและไม่แน่นอนประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,190-4,170 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,235-4,255 เหรียญ

12. ตลาดหุ้นปิด (4 ธ.ค.68) ลบ 1.05 จุด ดัชนี 1,273.77 จุด

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (4 ธ.ค.68) ลบ 1.62 จุดดัชนี 1,273.20 จุด

14. ตลาดหุ้นไทยเปิด (4 ธ.ค.68) บวก 5.60 จุด ดัชนี 1,280.42 จุด

15. ทองเปิดตลาดวันนี้ (4 ธ.ค. 68) ปรับขึ้น 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,400 บาท

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 8, 2025, 8:43 pm