นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินธุรกิจโกลด์ฟิวเจอร์สของบริษัทฯ ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง มีอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดดถึง 222% โดยมีปริมาณการซื้อขายจำนวน 95,490 สัญญา เทียบกับเดือนเมษายนที่มีอยู่จำนวน 43,942 สัญญาขณะเดียวกันยังมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าภาพรวมของตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สถึง 38.6% ส่งผลทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 12.7% และยังเป็นบริษัทที่มียอดการเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สสูงสุดขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโบรกเกอร์ทองอีกด้วย
“ผลดำเนินงานดังกล่าว ตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์การเทรดรูปแบบใหม่ที่วายแอลจีนำเสนอให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเทรดแบบระยะสั้น โดยเป็นการทำกำไรระยะสั้นเพื่อลดความเสี่ยงของลูกค้า เนื่องจากในเดือนพฤษภาคมราคาทองมีความผันผวนสูงมาก ซึ่งเข้ากับเทคนิคการเทรดของวายแอลจีส่งผลให้เรามีจำนวนสัญญาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ประกอบกับบริษัทมีการให้ข่าวสารที่แม่นยำและรวดเร็วโดยทีมงานนักวิเคราะห์ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น" นางสาวฐิภา กล่าว
นอกจากนี้ นางสาวฐิภา ยังกล่าวถึงการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในสัปดาห์นี้ แม้จะมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้น แต่ยังขาดแนวโน้มที่ชัดเจน เมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปก็จะถูกขายทำกำไรออกมา ในขณะที่เมื่อราคาอ่อนตัวลงไป จะเกิดแรงซื้อกลับเข้ามา โดยราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบเพื่อรอผลการเลือกตั้งของกรีซ ในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ รวมถึงรอผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 20-21 มิถุนายนนี้ ตามเวลาในประเทศไทย โดยประเด็นสำคัญที่ตลาดให้ความสนใจคือการครบกำหนดของ มาตรการ Operation Twist ในสิ้นเดือนนี้ ทำให้คาดหมายกันว่าจะมีประเด็นเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาอยู่ในวาระการประชุมดังกล่าว หากเกิดขึ้นจริงเชื่อว่าจะชี้นำราคาทองคำได้อย่างมีนัยสำคัญในขณะที่การประชุมของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของยุโรป(ECOFIN) จะมีการจัดขึ้นในวันที่ 21 มิถุนายน ตามเวลาในประเทศไทยด้วยเช่นกัน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนทองคำในช่วงนี้ การลงทุนในระยะสั้นนั้นอาจต้องใช้กลยุทธ์เก็งกำไรฝั่งซื้อเป็นหลัก โดยขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นไป โดยไม่แนะนำให้ถือทองคำไว้นาน โดยกรอบการลงทุนจะอยู่ในช่วง 1,560 – 1,620 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 23,270- 24,170 บาทต่อบาททองคำ และจำเป็นต้องตั้งจุดตัดขาดทุนหากราคาหลุดกรอบล่างดังกล่าว อย่างไรก็ตามหากราคาผ่าน 1,620 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไป ราคาทองคำจะเผชิญแนวต้านสำคัญในโซน 1,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 24,470 บาทต่อบาททองคำ ในขณะที่นักลงทุนระยะกลางถึงยาวนั้น แนะนำให้รอผลการประชุมของ คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า เพื่อหาแนวโน้มที่ชัดเจน ก่อนเข้าลงทุนอีกครั้ง หรืออาจรอจังหวะการทิ้งตัวอย่างรุนแรงของราคาทองคำแล้วเข้าสะสม โดยประเมินแนวรับที่ 1,530-1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 22,800- 22,370 บาทต่อบาททองคำ
ข่าวเด่น