บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองกลยุทธ์วันนี้ 1145
ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบ แต่หลุดแนวรับ 1150 จุดในช่วงปิดตลาด SET INDEX ลบเป็นวันที่ 3 อีก 5.48 จุด มาอยู่ที่ 1147.43 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเพียง 17,863 ล้านบาท
กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงไหลออกจากตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 3 อีก 1,050 ล้านบาท และ Short สุทธิใน SET50 Futures เป็นวันที่ 2 เพียง 28 สัญญา แต่ซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 19 อีก 1,695 ล้านบาท
SET INDEX วันนี้เคลื่อนไหวในกรอบแคบ เพราะขาดปัจจัยใหม่เข้ากำหนดทิศทางการลงทุน แนวรับสำคัญ 1145 จุดเป็นบริเวณที่ต้องให้น้ำหนัก หากหลุดแนวดังกล่าวจะเป็นสัญญาณลบเชิงเทคนิค อีกทั้งกระแสเงินทุนต่างชาติยังคงชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย นักลงทุนทั่วโลกต่างชะลอการลงทุน เพื่อรอดูผลการประชุมผู้นำอียูในวันที่ 28-29 มิ.ย. ทั้งนี้ติดตามการประชุมนอกรอบระหว่างผู้นำเยอรมันและฝรั่งเศสในวันพรุ่งนี้ ต่อท่าทีของเยอรมันในมาตรการ Banking Union และ Euro Bonds
อย่างไรก็ตาม MBKET เชื่อว่า Downside Risk ของ SET INDEX สัปดาห์นี้เป็นไปอย่างจำกัด ด้วยปัจจัยรองรับ Window Dressing ที่เข้าช่วยพยุงระดับดัชนี
ดังนั้นในภาพรวม MBKET แนะนำให้ “ถือพอร์ต 55% และเงินสด 45%” ทั้งนี้เพื่อรอจังหวะขายบริเวณแนวต้าน 1170/80 จุดอีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: MBKET แนะนำ “ถือพอร์ต 55% และเงินสด 45%” และ “สะสม” KTB/ SPCG
กลยุทธ์ทางเลือกวันนี้: MBKET แนะนำ “พอร์ตว่างเน้นจังหวะ Trading รอเปิด Long ช่วงย่อ คาดหวังการฟื้นตัวระหว่างวันกลับมาที่แนวต้าน 800/805 จุด” Stop loss <780 จุด หลุด ปิด long เปิด short แทน
Portfolio HOLD: VNT/ KSL/ TTCL/CPF/ AP/ PS/ SMIT/UMI/ SAT / AMATA/ TUF/ TVO/MAJOR/ BAY/ TCAP/ CPN/ BWG/ QH/ KK/ PTTGC/ BANPU/ PTT/ IVL/ SPCG/ DEMCO/ BBL / HMPRO
Accumulative Buy: KTB/ SPCG
Technical View แนวรับ 1130-1135 และ 1115 +/- จุด แนวต้าน 1155 +/- และ 1165 +/- จุด ถือเงินสดเพื่อรอดูสัญญาณซื้อรอบใหม่ โดยอย่างน้อยควรกลับมายืนเหนือ 1155 ให้ได้ จึงจะเกิดภาพระยะสั้นที่ดีขึ้นบ้าง
Action and Stock of the Day
SET INDEX ปรับฐานลงต่อปิดหลุดแนว 1150 จุด
คาด SET INDEX วันนี้ยังคงย่อตัวลงทดสอบแนว 1145 จุด และอาจหลุดแนวดังกล่าวได้เช่นกัน แต่โอกาสการดีดกลับก็มีความเป็นไปได้ จากแรงเก็งกำไรต่อประเด็นในฝั่งยุโรป
ตลาดหุ้นรอบเอเชียวานนี้ต่างปรับฐานลง เพราะนักลงทุนไม่มั่นในต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาของยุโรป แม้ว่าจะมีประเด็นเชิงบวกในช่วงสุดสัปดาห์ก็ตาม อีกทั้งตลาดหุ้นยุโรปไม่ฟื้นตัวจากปลายสัปดาห์ก่อนอีกเช่นกัน
และตลาดหุ้นไทยแม้ว่าจะฟื้นตัวในช่วงเปิดตลาดวานนี้ ใกล้กับแนวต้าน 1160 จุดก็ตาม แต่ด้วยภาพรวมทั่วเอเชียและยุโรปเป็นลบ ตลาดไม่ตอบรับเชิงบวกต่อการผ่อนคลายหลักเกณฑ์เงินกู้ของ ECB และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของ 4 ผู้นำหลักในอียู อย่างไรก็ตามแนวรับ 1150 จุดยังทำงานได้อย่างแข็งแกร่งตลอดชั่วโมงการซื้อขาย ปิดตลาด SET INDEX ลบเป็นวันที่ 3 อีก 5.48 จุด มาอยู่ที่ 1147.43 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเพียง 17,543 ล้านบาท
กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนโดดเด่นวานนี้ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล +2.42%, กลุ่มเหล็ก +1.56% และกลุ่ม Paper +0.41% ส่วนกลุ่มหลักอย่างกลุ่มพลังงาน -1.07%, กลุ่มธนาคาร +0.08%, กลุ่มปิโตรเคมี -0.79%, กลุ่ม ICT -1.42% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ -0.13%
ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
ตลาดหุ้นในเอเชียเช้าวันนี้ แกว่งตัวในกรอบแคบ แต่ยังเป็นทิศทางของการย่อตัวลงเป็นวันที่ 4 เพราะยังไม่มีความคืบหน้าต่อการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาในยุโรป ท่าทีของเยอรมันยังคงแข็งกร้าวต่อแนวทางการจัดทำ Euro bonds โดยให้ความเห็นว่าแนวทางดังกล่าวไม่เหมาะสม หากรัฐบาลในแต่ละประเทศสมาชิกยังสามารถกำหนดงบประมาณของตนเองได้
สำหรับ SET INDEX วันนี้ย่อตัวลงทดสอบแนวรับ 1145 จุด หากหลุดแนวดังกล่าว อาจทำให้สัญญาณทางเทคนิคกลับมาเป็นลบได้ทันทีเช่นกัน ขณะที่ภาพรวมการลงทุนขาดปัจจัยบวกใหม่ที่จะผลักดันให้ SET INDEX ฟื้นตัวได้ เว้นแต่จะเกิดแรงเก็งกำไรต่อการประชุมนอกรอบระหว่างผู้นำเยอรมันและฝรั่งเศสในวันพรุ่งนี้ ก่อนการประชุมผู้นำอียูในวันที่ 28-29 มิ.ย.
MBKET ถือพอร์ตที่ 55% และเงินสด 45% เพื่อรอขายทำกำไรบริเวณ 1180+/- ภายในสัปดาห์นี้ต่อการเก็งกำไรในการประชุมนอกรอบระหว่างผู้นำเยอรมันและฝรั่งเศสวันพรุ่งนี้ และการประชุมผู้นำอียูในปลายสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ติดตามท่าทีของนายกรัฐมนตรี Merkel ต่อแนวทางการทำ Banking union และ Euro bonds ที่ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปนให้การสนับสนุน
ปัจจัยสำคัญวันนี้
1. ประเทศไซปรัสเป็นลำดับที่ 5 ขอรับเงินช่วยเหลือ: หลัง Fitch Rating ลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไซปรัสลง อีกทั้งธนาคารในไซปรัสถือครองพันธบัตรกรีซเป็นจำนวนมาก ทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ส่งผลให้ไซปรัสต้องขอรับเงินช่วยเหลือจากทางอียูเป็นลำดับที่ 5 ของกลุ่มอียูคืนวานนี้ ส่งสัญญาณเชิงลบต่อภาพรวมในกลุ่มอียู แม้ว่าจะเป็นประเทศขนาดเล็กก็ตาม
2. ตลาดไม่คาดหวังเชิงบวกต่อการประชุมผู้นำอียูในวันที่ 28-29 นี้: เพราะหากประเมินจากท่าทีของผู้นำเยอรมันต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาในอียู ณ ปัจจุบัน ที่ยังคงยืนกรานไม่เห็นชอบกับการทำ Euro bonds เพราะยังขาดความเป็นเอกภาพในด้านนโยบายการคลัง ประเทศสมาชิกสามารถกำหนดงบประมาณและการบริหารหนี้สาธารณะของตนเองได้ ทั้งนี้
a. หากไม่มีข้อสรุปของแนวทางการแก้ไขปัญหา: คาดว่าอิตาลีดูจะมีความเสี่ยงที่จะขาดสภาพคล่องทางการเงินเป็นลำดับถัดไป สร้างแรงกดดันต่อภาพรวมในกลุ่มอียู และการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างมีนัยยะสำคัญ
b. หากได้ข้อสรุปของแนวทางการแก้ไขปัญหา: คาดว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะฟื้นตัวขึ้น เพื่อตอบรับเชิงบวกต่อการประชุมครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม CDS Spread และต้นทุนทางการเงินของเยอรมันจะเพิ่มขึ้น เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่ต้องรับภาระจากประเทศในกลุ่มอียู แต่นั่นก็เป็นเพียงการสร้างความสมดุลภายในกลุ่มอียูที่เยอรมันต้องรับภาระ
3. เงินทุนต่างชาติยังคงทยอยออกจากตลาดหุ้นในเอเชียเกิดใหม่: รวมถึงตลาดหุ้นไทย เพราะขาดปัจจัยบวกใหม่เข้าหนุนการลงทุน เมื่อตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้โดดเด่น เมื่อเทียบกับ MSCI AP exc Japan ที่เป็น YTD 11.6% กลายเป็นเป้าหมายของการถูกขายทำกำไร เพื่อ Lock-in-Profit เพียงแต่แรงขายจากนักลงทุนกลุ่มนี้อาจะไม่มากนัก หลังจากที่ทยอยขายนับตั้งแต่เดือนพ.คงที่ผ่านมา
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ ““ทยอยสะสม” ได้แก่
1. KTB : ราคาปิด 15.30 บาท ราคาเหมาะสม 20.50 บาท
a. ราคาหุ้น KTB ปรับตัว Underperform ตลาดมาก ใน 2Q55 โดย QTD ลดลงถึง -13.5% สูงกว่า SET BANK ที่ปรับตัวลง -3.4% และหุ้นในกลุ่มธนาคาร เช่น SCB -2.7%, BBL -1.6%, KBANK +2.3%, BAY +4.6% จึงเชื่อว่ามี Downside Risk ที่จำกัด และอาจได้ประโยชน์จากการทำ Window Dressing ในสัปดาห์นี้
b. ขณะที่แนวโน้มกำไร 2Q55 คาดว่าจะอยู่ที่ 6.4-6.5 พันล้านบาท ดีขึ้นเล็กน้อย qoq และเพิ่มขึ้นราว +20% yoy จากการขยายตัวของสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียม และยังมีการขยายตัวของกำไรทิศทางเดียวกับกลุ่มธนาคาร
c. และคาดว่ากำไรสุทธิปี 2555 จะขยายตัวสูงถึง +32% yoy เป็น 2.25 หมื่นล้านบาท จากการตั้งสำรองที่เข้าสู่ภาวะปกติ หลังมีการตั้งสำรองพิเศษไปมากใน 4Q54 ที่ผ่านมา รวมทั้ง ผลประโยชน์จากภาษีนิติบุคคลที่ลดลงเหลือ 23% ในปีนี้
d. ราคาหุ้นมี Valuation ที่ค่อนข้างถูก โดยซื้อขาย PBV ปี 2555 เพียง 1.18 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่ 1.43 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.9% สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่
2. SPCG : ราคาปิด 16.40 บาท ราคาเหมาะสม 22.63 บาท
a. วานนี้ SPCG รายงานเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน 6 บริษัทย่อย หลังได้เงินกู้ระยะสั้นจำนวน 3.7 พันล้านบาทจาก KBANK เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์โครงการที่ 21-26
b. MBKET มีมุมมองเชิงบวกต่อข่าวดังกล่าว เพราะสะท้อนให้เห็นว่าโครงการของ SPCG เดินหน้าตามแผนงานเดิม และคาดว่าจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าทั้ง 34 โครงการได้ตามแผนที่วางไว้
c. ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q55 คาดว่าจะขยายตัวโดดเด่น qoq และพลิกกลับจากขาดทุนใน 2Q54 เป็นกำไรราว 40-50 ล้านบาท จากการเริ่มรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่ 7-9 ในไตรมาสนี้
d. และผลักดันให้กำไรสุทธิปี 2555 เติบโตแบบก้าวกระโดดเป็น 302 ล้านบาท จาก 9 ล้านบาท ในปี 2554 จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่ 10-16 ใน 2H55 และ +444.6% yoy เป็น 1,644 ล้านบาทในปี 2556 จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าเต็มที่ตามแผนทั้ง 34 โครงการ
What will DJIA move tonight? ไม่มีปัจจัยสำคัญในคืนนี้
ข่าวเด่น