วันนี้ (10 พ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 906 ศาลอาญา ศาลนัดอ่านคำพิพากษา ในคดีที่ นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน อดีตรัฐมนตรีและ ส.ส.บุรีรัมย์หลายสมัย และนายชัย ชิดชอบ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคภูมิใจไทย ผู้รับมอบอำนาจเป็นโจทก์ฟ้อง นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยในความผิดฐาน หมิ่นประมาท ละเมิด เรียกค่าเสียหาย ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328,90
คดีดังกล่าว โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 28-29 ม.ค.2550 นายอลงกรณ์ ใส่ความหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์และรายการโทรทัศน์ โดยได้แถลงข่าวและแจกจ่ายเอกสารการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ว่า นายเนวิน และนายชัย เป็นนักการเมืองผู้มีอิทธิพลในจังหวัดบุรีรัมย์ บุกรุกที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ที่ต.เขากระโดง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ รวม 2 แปลง จำนวนกว่า 44 ไร่ โดยใช้อิทธิพลความเป็นนักการเมืองให้ออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แล้วนำที่ดินไปจำนองกับสหธนาคาร และธนาคารกรุงไทย วงเงินกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงเกินจริง ทำให้ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ มีนายเนวินและนายศุภชัยเบิกความในทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงออกโฉนดถูกต้องตามระเบียบของกรมที่ดิน และมีผู้รับมอบอำนาจจากการรถไฟแห่งประเทศไทยมาระวังแนวเขต ทั้งยังสามารถอธิบายความเป็นมาของการออกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลง โดยมีหลักฐานยืนยันประกอบการเบิกความว่า ที่ดินทั้งสองแปลงนางกรุณา ชิดชอบ ภรรยาของนายเนวินซื้อมาจากนายประสิทธิ์ ตั้งศรีเกียรติกุล และสำนักงานที่ดินจังหวัดมีหนังสือลงวันที่ 11 มี.ค. 52 ซึ่งมีความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนว่า ที่ดินทั้งสองแปลงไม่ได้ออกทับที่ดินของการรถไฟฯ จึงมีมติไม่ควรเพิกถอนที่ดินทั้งสองแปลง ที่นายเนวินยอมรับว่าก่อนที่นางกรุณาจะซื้อที่ดินนั้นนายเนวินรู้อยู่แล้วว่ามีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสร้างทางรถไฟหลวงจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ซึ่งเจือสมกับทางนำสืบของจำเลยว่า ก่อนการแถลงข่าวจำเลยได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเอกสารของการรถไฟฯ กรมที่ดิน และเอกสารการตรวจสอบของกมธ.พิจารณาสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตของวุฒิสภาแล้ว
นอกจากนี้ จำเลยยังได้ตรวจสอบบัญชีราชชื่อผู้มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินของการรถไฟทางแยกเขากระโดง ที่ระบุว่านายชัย บริษัทศิลาชัยบุรีรัมย์ และนางละออง ชิดชอบ เป็นผู้ครอบครองที่ดิน รวมทั้งระบุด้วยว่านายเนวินขออาศัยที่ดินของการรถไฟฯ และการรถไฟฯ ยินยอมให้อาศัย จึงเห็นได้ว่าพฤติการณ์แห่งคดีเกี่ยวกับออกโฉนดที่ดินพิพาทยังเป็นกรณีที่พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสอง และพยานหลักฐานของจำเลยยืนยันในทางตรงกันข้ามว่าการออกโฉนดที่ดินเป็นไปโดยชอบหรือไม่ กรณีจึงมีเหตุให้จำเลยเข้าใจว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลนเป็นของการรถไฟฯ และหลังจากการแถลงข่าวจำเลยมีหนังสือถึงพล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานกมธ.คมนาคม สภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนั้น เพื่อให้ตรวจสอบการครอบครองที่ดิน จึงเห็นได้ว่าก่อนการแถลงข่าวจำเลยได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นลำดับขั้นตอน สามารถชี้แจงที่มาที่ไปของเอกสารหลักฐาน รวมทั้งยังอธิบายข้อเท็จจริงในเรื่องที่ได้สืบสวนมาที่ไม่ใช่การแถลงข่าวอย่างปัจจุบันทันด่วน หรือการกล่าวอ้างลอยๆ ที่ปราศจากพยานหลักฐาน แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยเชื่อโดยสุจริตว่ามีมูลความจริงตามที่จำเลยแถลงข่าวโดยไม่มีเจตนาใส่ความโจทก์ทั้งสอง
แม้ข้อความที่แถลงข่าวอาจเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสอง แต่เมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นนักการเมืองเคยดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง รวมทั้งเสนอตัวต่อประชาชนให้เลือกเป็นส.ส.หรือส.ว. ก็แสดงว่าตนเองเป็นคนดีมีความซื่อสัตย์สุจริตไว้วางใจให้เข้าไปบริหารกิจการแทนประชาชน ดังนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องถูกตรวจสอบความถูกต้องของการปฏิบัติงานเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ การที่จำเลยแถลงข่าวกรณีดังกล่าวจึงมีความชอบธรรมที่จะเปิดเผยให้ประชาชนทราบเพื่อป้องกันการมีส่วนได้ส่วนเสีย อันเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (1) และ (3) จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท พิพากษายกฟ้อง
ด้านนายอลงกรณ์ กล่าวภายหลังศาลอาญา พิพากษายกฟ้องในคดีที่ นายเนวิน และ นายชัย ชิดชอบ ฟ้องหมิ่นประมาท กล่าวหาว่า บุกรุกที่ดิน ร.ฟ.ท. จ.บุรีรัมย์ ว่า คดีนี้มีการต่อสู้ยาวนานถึง 6 ปี ซึ่งตนยังยืนยันว่า ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบในฐานะของ ส.ส. โดยใช้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ซึ่งยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก และไม่มีความโกรธเคืองใดๆ เป็นการส่วนตัว กับ นายเนวิน และ นายชัย ซึ่งคดีนี้ทั้ง 2 คนได้มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายไว้จำนวน 100 ล้านบาทด้วย
ข่าวเด่น