"วรพล" เลขา ก.ล.ต.เผยกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือ อินฟราสรัคเจอร์ ฟันด์ กองแรกของไทย พร้อมเสนอขายหน่วยลงทุนไตรมาส 3 ปีนี้ แจงธุรกิจโรงไฟฟ้าและโซลาฟาร์มเตรียมยื่นขอจัดตั้งกองทุนเร็วๆนี้ พร้อมเชิญหน่วยงานรัฐ-เอกชนรับฟังข้อมูล หวังเป็นช่องทางระดมทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศแทนการใช้งบประมาณอย่างเดียว และรองรับ AEC
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (อินฟราสรัคเจอร์ ฟันด์) กองแรกของไทยน่าจะสามารถเสนอขายหน่วยลงทุนได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยมีธุรกิจโรงไฟฟ้า และโซลาร์ฟาร์ม เตรียมยื่นขอจัดตั้งกองทุนในเร็วๆนี้ ทั้งนี้ ในวันนี้ ก.ล.ต.จึงเตรียมเรียกหน่วยงานที่อาจเกี่ยวข้องเข้ามารับฟังข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อหวังเป็นช่องทางระดมทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศแทนการใช้งบประมาณภาครัฐเพียงอย่างเดียว เพื่อให้การพัฒนาทันรองรับกับการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
หน่วยงานต่างๆ ที่เชิญประกอบด้วย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินต่างๆ เป็นต้น เพื่อสร้างความเข้าใจการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
กองทุนโครงสร้างพื้นฐานสามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์ 8 ประแภท ได้แก่ ระบบถนน, ระบบราง, โรงไฟฟ้า, ระบบน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรม, สนามบิน, ท่าเรือน้ำลึก, โทรคมนาคม และพลังงานทางเลือก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ในภูมิภาคที่จะเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพม่า ที่กำลังจะมีโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหรกรรมทวาย รวมถึงเชื่อมต่อกับจีนและอินเดีย
นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังส่งเสริมการระดมทุนผ่านบริษัทโฮลดิ้งคัมปานีที่ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ไปแล้ว เพื่อรองรับกับการที่เอกชนไทยต้องการระดมทุนเพื่อออกไปลงทุนต่างประเทศ โดยสามารถจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งคัมปานีเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุนชของภาคเอกชนเพื่อรองรับการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)
รวมทั้งยังสนับสนุนการระดมเงินผ่าน Real Estate Investment Trust (REIT) หรือ ทรัสต์ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะมีการออกหลักเกณฑ์ในเร็วๆ นี้ และเชื่อว่าจะมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น นอกจากที่อยู่อาศัยแล้วก็จะมีโรงแรมและอพาร์ทเม้นท์ด้วย และส่งเสริมให้บริษัทขนาดกลางและเล็ก โดยเฉพาะบริษัทในต่างจังหวัดให้เตรียมพร้อมเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทได้ขยายงานรองรับ AEC ด้วย
เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวอีกว่า ในเดือน ส.ค.นี้ ระบบซื้อขายเชื่อมโยงอาเซียน หรือ ASEAN Linkage จะเริ่มเทรดในระบบเดียวกัน เบื้องต้นเริ่มใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม ไทยยังต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเกี่ยวกับตลาดทุน ได้แก่ การเก็บภาษีเงินปันผล กำไรจาก Capital gain สำหรับนิติบุคคล ซึ่งได้เสนอต่อกระทรวงการคลังไปเมื่อปลายปีที่แล้ว หากไทยยังมีการเก็บภาษีอยู่อาจจะทำให้ไทยเสียเปรียบการแข่งขันได้เพราะประเทศอื่นไม่มีการเก็บภาษี
ข่าวเด่น