ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ ระบุว่า การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเป็นแรงขับเคลื่อนหลักให้เศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ 5.6-5.8% ในปีนี้การส่งออกเป็นความเสี่ยงหลักของการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปี 2012
การส่งออกชะลอตัวลงในช่วงปลายไตรมาส 2 และมีสัญญาณว่าจะชะลอตัวต่อไปเนื่องจากดัชนีการสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมของต่างประเทศ (ISM และ PMI new orders) ยังหดตัว ทั้งนี้ ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปอาจทำให้การส่งออกของไทยในปีนี้มีศักยภาพที่จะขยายตัวได้เพียงราว 10% เท่านั้น
การชะลอตัวของการส่งออกยังไม่กระทบการใช้จ่ายในประเทศ การใช้จ่ายในประเทศยังขยายตัวได้ในระดับสูง โดยดัชนีการบริโภคและดัชนีการลงทุนที่จัดเก็บโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขยายตัว 4.8% และ 18.3% ตามลำดับเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าไตรมาสแรกและค่าเฉลี่ยของปีที่แล้วค่อนข้างมาก ทั้งนี้ การใช้จ่ายในประเทศยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสั่งซื้อรถยนต์ที่น่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายเวลาการรับรถยนต์ของนโยบายรถคันแรก อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตามองคือผลกระทบของการส่งออกต่อการจ้างงานเนื่องจากจะเป็นปัจจัยที่ทำให้การใช้จ่ายในประเทศของไทยอ่อนแรงลงได้
เศรษฐกิจโลกจะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2013 วิกฤติหนี้สาธารณะของยุโรปน่าจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงในปลายปี 2012 จนถึงกลางปี 2013 หากเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวได้ตามคาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2013 เศรษฐกิจไทยจะมีแรงสนับสนุนจากการส่งออกซึ่งน่าจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวได้ 4.7-5.2% ในปี 2013
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2012 ยังเฉลี่ยอยู่ที่ราว 3.2-3.7%
การเก็งกำไรและปัจจัยด้านอุปทานทำให้ประมาณการราคาน้ำมันดิบในระยะกลางยังไม่ลดลง ราคาน้ำมันดิบยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยภายในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับเพิ่มขึ้น 10% มาอยู่ที่ 103 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรปจะช่วยเหลือสเปนและอิตาลี และธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะออก QE3 ในช่วงปลายปีนี้ นอกจากนี้ อุปทานน้ำมันในตลาดโลกเริ่มตึงตัวจากเหตุการณ์ในตะวันออกกลางที่ยังไม่มีข้อยุติ ดังนั้น ระดับราคาในหมวดพลังงานจึงยังได้รับแรงกดดันต่อไป ถึงแม้ว่าคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีมติตรึงราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนต่อไป จากเดิมที่จะสิ้นสุดลงในเดือนสิงหาคมนี้
ยังมีแรงกดดันเงินเฟ้ออยู่ในปี 2013 การปรับโครงสร้างราคาพลังงานตามนโยบายของภาครัฐที่จะมีผลในช่วงต้นปีหน้า เช่น การจัดเก็บภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม และการลอยตัวราคาแอลพีจี จะทำให้ราคาพลังงานขายปลีกในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และกดดันเงินเฟ้อทั่วไปในปีหน้าให้ยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันในอีก 70 จังหวัดทั่วประเทศ เป็นแรงกดดันเงินเฟ้อในปี 2013 เช่นกัน
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย คงมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 3.0% จนถึงสิ้นปี 2012
อัตราเงินเฟ้อเป็นปัจจัยรองสำหรับการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่เหลือของปีนี้ วิกฤติเศรษฐกิจยุโรปเป็นความเสี่ยงหลักต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทย ซึ่งผลกระทบต่อการจ้างงานและการใช้จ่ายในประเทศจะเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งนี้ ระดับดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันยังสามารถสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศได้หากเศรษฐกิจยุโรปไม่หดตัวรุนแรง
สำหรับปี 2013 ธปท. น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนกว่าจะมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัว โดยหากเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวได้ตามคาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2013 ธปท.คงจะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปี 2013 เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับระดับอัตราเงินเฟ้อ
ค้านค่าเงินบาทคาดแกว่งตัวในช่วง 30-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยค่าเงินบาทยังคงผันผวนจากความกังวลต่อปัญหาหนี้ในยุโรป ภาระดอกเบี้ยของสเปนและอิตาลีที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงนี้เป็นปัญหาที่ทำให้ นักลงทุนขาดความมั่นใจ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่กรีซจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือในงวดต่อไป ซึ่งกลุ่มเจ้าหนี้ Troika จะตัดสินใจในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า เงินบาทอาจจะแข็งค่าขึ้นได้ในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงปี 2013 เช่นเดียวกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค เนื่องจากสถานการณ์ในยุโรปและมาตรการช่วยเหลือน่าจะมีความชัดเจนขึ้น รวมไปถึงการดำเนินนโยบายการเงินที่น่าจะผ่อนคลายขึ้นของทางสหรัฐฯ นอกจากนี้ ค่าเงินบาทน่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในปีหน้า เนื่องจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกโดยรวมลดลง
ข่าวเด่น