ตลาดหุ้นไทยเปิดวันนี้ ( 4 ต.ค.) บวก 1.51 จุด หรือเปลี่ยนแปลง + 0.12% ที่ดัชนี 1,309.06 จุด ดัชนีปรับสูงสุด 1,309.49 จุด ต่ำสุด 1,308.41 จุด มูลค่าการซื้อขาย 2,295.53 ล้านบาท โดยตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศ ที่ปิดตลาดเมื่อคืนดัชนีดาวโจนส์ บวก 12.25 จุด หรือเปลี่ยนแปลง + 0.09% ปิดที่ 13,494.61 จุด, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 บวก 5.24 จุด หรือเปลี่ยนแปลง + 0.36% ปิดที่ 1,450.99 จุด c]tดัชนีแนสแดก บวก 15.19 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.49% ปิดที่ 3,135.23 จุด
โดยตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับบวกล้วนได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนและดัชนีภาคบริการ หลัง Automatic Data Processing ADP เปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 162,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 143,000-153,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐ ขยายตัวสู่ระดับ 55.1 ในเดือนก.ย. เทียบจากเดือน ส.ค.ที่ระดับ 53.7 .
อย่างไรก็ตาม ตลาดปรับตัวขึ้นในกรอบที่จำกัด เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจยุโรปและจีน หลังจากมาร์กิตเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของยูโรโซนหดตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 46.1 ในเดือนก.ย. จากเดือนส.ค.ที่ระดับ 46.3 และดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ย.ของจีนลดลง 2.6 จุด มาอยู่ที่ระดับ 53.7
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซต์เวย์ แม้ว่า Flow จะยังไหลเข้า แต่ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลง 3-4% น่าจะเป็นแรงกดดันให้กับหุ้นในกลุ่มพลังงาน ทำให้ตลาดฯไปไม่ค่อยได้ อีกทั้งปกติงบฯแบงก์จะประกาศออกมา นักลงทุนจะมีการเข้ามาเล่นกันก่อนแต่รอบนี้ยังไม่เห็นมากนัก มองว่านักลงทุนยังลังเลที่จะเข้าตลาดฯช่วงนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเห็นว่าตลาดฯปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว
นอกจากนี้ ตลาดทั่วโลกก็เริ่มมีสัญญาณการพักฐาน โดยเช้านี้ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียก็มีการปรับตัวลงเล็กน้อย ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯจะอยู่ในวันศุกร์มากกว่า ด้านตัวเลข PMI ของจีน และยุโรปก็ออกมาไม่ดี
อีกทั้งทาง ADB ก็ยังได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโต GDP ของไทยลง โดยปีนี้คาดว่า GDP ของไทยจะเติบโต 5.2% จากเดิมคาดจะโต 5.5% และปี 56 คาดว่าจะเติบโต 5% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 5.5% ซึ่งภาพรวมทางเศรษฐกิจยังไม่ดี แต่ตลาดคงยังปรับตัวขึ้นได้บ้าง เป็นเพราะสภาพคล่องที่ยังมีท่วมอยู่
ดังนั้น ช่วงนี้ควรเทรดดิ้งเป็นรายตัวโดยมองสัญญาณทางเทคนิคเป็นหลัก เนื่องจากมองว่าตลาดมี valuation ที่ไม่ถูกแล้ว แต่ก็ยังลงทุนหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์, กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มอาหาร ได้ พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,300-1,310 จุด
ข่าวเด่น