"ความรุนแรงในอียิปต์หนุนราคาน้ำมัน แม้วิกฤติการคลังในสหรัฐฯ ยังไม่มีทางออก"
เบรนท์ส่งมอบ ม.ค ปรับเพิ่มขึ้น 0.47 ปิดที่ 111.23 เหรียญฯ และน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสส่งมอบเดือน ม.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 0.84 ปิดที่ 88.91 เหรียญฯ
+ สถานการณ์ความรุนแรงในการชุมนุมประท้วงประธานาธิบดีอียิปต์ยังคงยืดเยื้อและ มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ภายหลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสภาร่างรัฐธรรมนูญอียิปต์ผ่านร่างรัฐ ธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งหลายฝ่ายกังวลว่าจะยิ่งเพิ่มความขัดแย้งให้บานปลายเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากฝ่ายต่อต้านไม่เห็นด้วยในหลายมาตราของร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว
+ สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังคงเปราะบางหลังจากล่าสุด ที่ประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติมีมติรับรองสถานภาพของปาเลสไตน์ให้ เป็นรัฐผู้สังเกตุการณ์แบบเดียวกับนครรัฐวาติกัน ซึ่งหลังการประชุมทั้งสหรัฐฯ และอิสราเอลออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างมากต่อมติดังกล่าว
+ วุฒิสภาสหรัฐฯ เห็นชอบมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่ออิหร่านซึ่งครอบคลุมถึงต่างชาติที่ทำ ธุรกิจกับอิหร่านทั้งในส่วนของพลังงาน ท่าเรือ เดินเรือ และการต่อเรือ แม้ว่าจะมีเสียงขัดค้านจากทำเนียบขาวเนื่องจากเกรงว่ามาตรการดังกล่าวจะเป็น อุปสรรคต่อความพยายามหาทางออกปัญหานิวเคลียร์อิหร่านโดยการเจรจาที่กำลัง ดำเนินอยู่ในปัจจุบันระหว่างชาติมหาอำนาจกับอิหร่าน
- อย่างไรก็ดี ความไม่ชัดเจนและล่าช้าของการเจรจาระหว่างพรรคเดโมเครตและรีพับลิกันในความ พยายามในการหาทางออกให้กับปัญหาวิกฤติการคลังในสหรัฐฯยังเป็นปัจจัยกดดัน ความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุน
- รวมทั้งเมื่อวันศุกร์ตัวเลขยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ประจำเดือน ต.ค. ปรับลดลง 0.2% เทียบกับเดือนก่อนซึ่งแย่กว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะปรับ ขึ้น 0.1% นอกจากนี้ตัวเลขรายได้ส่วนบุคคลยังทรงตัวเทียบกับที่คาดการณ์ว่าจะปรับเพิ่ม ขึ้น
ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากอุปทานภายในภูมิภาคที่ปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอินเดีย อย่างไรก็ดียังมีการนำเข้ายังมีอย่างต่อเนื่องจากอินโดนีเซียและศรีลังกา
ราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบเช่นกัน อย่างไรก็ตามปริมาณการส่งออกของจีนและอินเดียที่เพิ่มขึ้นยังเป็นปัจจัยกด ดันราคาภายในภูมิภาคไม่ให้ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก
ทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นและปัจจัยที่น่าจับตามอง
กรอบการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ เบรนท์ 105 -113 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเวสต์เท็กซัส 85-92 เหรียญฯ
ราคาน้ำมันในระยะสั้นจะถูกกดดันจากปัญหาหน้าผาการคลังของสหรัฐฯ ขณะที่ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลต่ออุป ทานน้ำมันดิบ วันนี้ติดตามตัวเลขดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ ยุโรปและเยอรมนี
ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์หน้า ได้แก่
วันจันทร์: ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ ดัชนีภาคการผลิตยูโรโซนและเยอรมนี
วันอังคาร: ดัชนีราคาผู้ผลิตยูโรโซน
วันพุธ: ดัชนีภาคบริการสหรัฐ ดัชนีภาคบริการและยอดขายปลีกของยูโรโซน รวมทั้งดัชนีภาคบริการจีนโดย HSBC
วันพฤหัส: ยอดผู้ขอรับสิทธิประโยชน์การว่างงานสหรัฐ การประชุมธนาคารกลางยุโรป รวมทั้ง จีดีพีไตรมาส 3 และยอดคำสั่งซื้อของโรงงานของยูโรโซน
วันศุกร์: อัตราการว่างงาน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ รวมทั้งการผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนี
วันเสาร์/อาทิตย์: ยอดขายปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีน
- ติดตามการประชุมธนาคารยุโรป (ECB) วันที่ 6 ธ.ค. ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆเพิ่มเติมหรือไม่เพื่อแก้ปัญหาวิกฤต เศรษฐกิจยุโรปที่อยู่ในภาวะถดถอยในปัจจุบัน
- ติดตามว่ากรีซจะได้รับเงินช่วยเหลือจากอียูจำนวน 34.4 พันล้านยูโรอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 ธ.ค. เรียบร้อยตามแผนหรือไม่หลังจากเห็นชอบในหลักการเบื้องต้นไปเมื่อวันที่ 26 พ.ย.รวมทั้งตามว่าจะได้รับเงินช่วยเหลือจาก IMF จำนวน 9.3 พันล้านยูโรเมื่อไร
- ความคืบหน้าของการหาทางออกให้กับปัญหาหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) ของสหรัฐฯ ระหว่างผู้แทนพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันที่จำเป็นต้องสำเร็จก่อนที่มาตรการ เพิ่มภาษีและลดค่าใช้จ่ายจะมีผลบังคับใช้ต้นปีหน้า
- ความตึงเครียดในตะวันออกกลางทั้งในเรื่องความเปราะบางของข้อตกลงหยุดยิง ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส เหตุการณ์การประท้วงผู้นำในอียิปต์ ความรุนแรงในซีเรียและบริเวณตอนเหนือของอิรักกับชาวเคิร์ดยังสร้างความกังวล ในเรื่องความเสี่ยงต่ออุปทานน้ำมันดิบในแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ
ข่าวเด่น