นายสมเกียรติ ศิริชาติไชย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับ ปี 2555 จำนวน 35,260 ล้านบาท โดยเป็นกำไรจากการดำเนินงานก่อนภาษีเงินได้ จำนวน 48,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 8,837 ล้านบาท หรือ 22.01%
ผลการดำเนินงานสำหรับปี 2555 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2554 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนภาษีเงินได้ จำนวน 48,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 8,837 ล้านบาท หรือ 22.01% ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ จำนวน 7,090 ล้านบาท หรือ 12.55% ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) อยู่ที่ระดับ 3.58% สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 6,707 ล้านบาท หรือ 19.72% ซึ่งเกิดจากความพยายามในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าโดยการขยายช่องทางการขายและบริการ พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศให้มีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Efficiency ratio) ในปีนี้อยู่ที่ระดับ 45.00% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 ธนาคารและบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมจำนวน 2,077,442 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2554 จำนวน 354,502 ล้านบาท หรือ 20.58% ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงินสุทธิ เงินลงทุนสุทธิ และเงินให้สินเชื่อ สำหรับเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL Gross) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 อยู่ที่ระดับ 2.16% ขณะที่สิ้นปี 2554 อยู่ที่ระดับ 2.45% อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 ธนาคารและบริษัทย่อยมีอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ที่ระดับ 131.83% ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ Basel II อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคาร อยู่ที่ 15.98% โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 10.43% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทย อยู่ที่ 15.64% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 10.44%
ข่าวเด่น