วันนี้ (18 ก.พ. 56) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel ถึงกรณีรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ออกรายการยิ่งลักษณ์ พบประชาชน ระบุว่าต้นเมษายน อาจจะเกิดวิกฤติพลังงานว่า
เรื่องน้ำมันนั้นผมก็กำลังจับตาดู พรรคก็กำลังจับตาดูว่าเอ๊ะ ทำไมราคาน้ำมันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานั้นมันพุ่งขึ้นพรวดพราด แล้วก็ไปพบความเป็นจริงที่น่าสนใจว่า ถ้าเราลองเปรียบเทียบราคาน้ำมันในปัจจุบัน กับราคาตอนประมาณวันเลือกตั้ง เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน เราจะพบความจริงว่า ราคาน้ำมันดิบนั้น แทบไม่แตกต่างกัน แต่ว่ามีปัจจัยที่ความจริงควรจะช่วยเราในขณะนี้ก็คือ ค่าเงินบาทนั้นแข็งขึ้น เพราะฉะนั้นน้ำมันที่นำเข้ามาคิดเป็นเงินบาทก็ต้องราคาถูกลง
ทีนี้ดีเซลในช่วงหลัง รัฐบาลก็มายึดถือนโยบายของรัฐบาลที่แล้ว คือไม่ให้เกิน 30 บาท แต่ว่ามีช่วงนึงนั้นปล่อยเกินไปจนกระทั่ง ค่าขนส่งอะไรต่างๆ ขึ้นไปแล้ว ทีนี้พอมาดูเบนซิน ที่ยิ่งแปลกก็คือว่า รัฐบาลซึ่งเดิมหาเสียงว่า จะลดราคาตรงนี้ลงมา มาถึงวันนี้ราคาน้ำมันเบนซินแพงกว่าวันเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันนั้นเท่ากัน และกองทุนน้ำมันที่รัฐบาลบอกจะเลิกเก็บ วันนี้ปรากฎว่า เก็บแพงกว่าเดิม แพงกว่าก่อนเลือกตั้งอีก เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า นโยบายพลังงานที่หาเสียงไว้ ไม่ใช่สิ่งที่ทำ แล้วก็ขณะนี้ที่ทำกันอยู่ ก็เป็นปัญหาว่า กลายเป็นการซ้ำเติมประชาชน มากกว่าการที่จะดูแลประชาชน อย่างที่เคยโฆษณาหาเสียงไว้
ส่วนเรื่องแก๊สนั้น ที่จริงกรณีของการซ่อม ปิดซ่อม หรือการบางครั้ง แก๊สส่งมาจากพม่าไม่ได้นั้นก็เคยเกิดขึ้นนะครับ ที่น่าแปลกใจครั้งนี้ก็คือว่า ทำไมรัฐมนตรีพลังงาน แทนที่จะไปดูเป็นการภายในก่อนว่า สมมติว่าทางพม่าแจ้งมาว่าจะไม่สามารถส่งแก๊สเข้ามาได้ กี่วัน ในปริมาณเท่าไหร่ก็ตาม ก็ต้องไปดูว่ามีแผนรองรับอย่างไร เพราะในอดีตก็ต้องทำกันอย่างนั้น แต่แทนที่จะทำอย่างนั้น กลับกลายเป็นเหมือนกับมาพูดทำนองว่า โอ้สถานการณ์แย่แล้ว
ในระยะหลังนั้นเรามักจะได้ยินการพูดของทางกระทรวงพลังงาน หรือผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน ให้เกิดความเข้าใจถึงปัญหาว่าขณะนี้แก๊สกำลังจะไม่พอ กำลังจะขาดแคลนอะไรต่างๆ ผมเห็นว่ามันค่อนข้างผิดปกติอยู่เหมือนกันว่า จริงๆ แล้วกรณีอย่างเช่นที่พูดถึงว่าจะปิดซ่อม หรืออะไรต่างๆ มันก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นผมว่ามันก็คงเป็นความพยายามที่จะมาสอดรับกับแผนการการจะขึ้นราคาแก๊สบ้าง หรือว่าการจะต้องไปเจรจากับทางกัมพูชา หรืออะไรก็ว่ากันไปนะครับ”
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลก็มีความพยายามจะขอปรับขึ้นราคาแก๊สมาโดยตลอด
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “คือผมคิดว่าทั้งการพูดคุยกับเขา แล้วก็การที่เขาบอกล่วงหน้านั้น กับการเตรียมการในการที่จะรองรับ มันน่าจะอยู่ในวิสัยที่ทำได้ มากกว่าที่จะมาพูดในทำนองให้เกิดความตื่นตระหนกตกใจกันขึ้นมาว่า ตกลงเราไม่มีไฟจะใช้กันหรืออย่างไร การรณรงค์ให้เกิดการประหยัดนั้น ใครๆ ก็เห็นด้วยอยู่แล้วนะครับ ผมก็เห็นวันนี้มีคุณรสนา ใช่มั้ยครับ ก็ไปขึ้น เฟสบุค ท่าน สว. ก็ขึ้นเฟสบุค แนะนำอะไรหลายอย่าง อย่างนั้นก็ถูกต้องว่า การประหยัดพลังงานนั้นมันต้องมาจากการลงทุน มากกว่าการจัดอีเวนต์
แล้วก็ในแง่ของการสนับสนุน ส่งเสริมแหล่งพลังงานอื่น ก็ต้องมีคำถามว่า ทำกันเต็มที่หรือยัง คือขณะนี้อย่างที่บอกนะครับว่า เหมือนกับทำให้เกิดความกลัวกันขึ้นมา แล้วไม่รู้ว่าจะนำไปสู่ความพยายามชอบธรรมว่าแก๊สต้องขึ้นราคาหรืออย่างไร”
“ผมว่าก็มีความพยายามที่จะสร้างกระแสนี้อยู่ เพราะดูแล้วประชาชนนั้นเดือดร้อนมาก ถ้ามีการขึ้น แล้วก็ทางรัฐบาลเองก็พยายามที่จะหาเหตุผลมารองรับอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าก็อ้างในเรื่องเดิมๆ ทำนองว่าต้องนำเข้า แอลพีจี เข้ามาแล้วก็ต้องมีการชดเชยอะไรต่างๆ ซึ่งทางผมนั้นก็ยืนยันมาโดยตลอดว่า มันสามารถแยกส่วนกันได้ระหว่างการใช้ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ต้องมีการนำเข้าเพราะว่าถ้าถามว่า เราผลิต แอลพีจีในประเทศเองนั้นเพียงพอ คือแหล่งแก๊สในประเทศนั้นมันเพียงพอที่จะป้อนในส่วนของครัวเรือน ในส่วนของภาคขนส่งมั้ย ผมก็ยืนยันว่ามันพออยู่แล้วครับ”
ข่าวเด่น