กฟผ.เตรียมแผนรับมือการหยุดผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานา ระหว่างวันที่ 4-12 เมษายน นี้ โดยดึงโรงไฟฟ้าน้ำมันเตา-ดีเซล เดินเครื่องทดแทน ยันไม่ยอมให้เกิดไฟฟ้าดับในวงกว้าง ห่วงอีก 10 ปี ข้างหน้าแหล่งก๊าซอ่าวไทยหมด ต้องนำเข้า LNG จากต่างประเทศผลิตไฟฟ้า มีราคาเชื้อเพลิงสูงกว่าก๊าซธรรมชาติถึง 2 เท่า หวั่นกระทบค่าไฟฟ้า พร้อมดันการพัฒนาโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศ มีเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ เชื้อเพลิงราคาถูก และมีความมั่นคงในระบบไฟฟ้า
นายพงษ์ดิษฐ พจนา รองผู้ว่าการกิจการสังคม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะโฆษก กฟผ. เปิดเผยถึงสถานการณ์กรณีการหยุดผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานา ในวันที่ 4-12 เมษายน 2556 โดย ปตท. แจ้งว่ามีการทรุดตัวของแท่นขุดเจาะที่แหล่งยาดานาประเทศพม่า ทำให้ก๊าซธรรมชาติหายไปวันละ 1,030 ล้าน ลบ.ฟุต คิดเป็นกำลังผลิตประมาณ 6,000 เมกะวัตต์ ซึ่งก๊าซที่หายไปจะส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้าในฝั่งภาคตะวันตกทั้งหมด ได้แก่ โรงไฟฟ้าบริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) โรงไฟฟ้าบริษัทราชบุรีเพาเวอร์ จำกัด และโรงไฟฟ้าบริษัทไตรเอ็นเนอร์ยี่ จำกัด โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ และโรงไฟฟ้าวังน้อย
รองผู้ว่าการกิจการสังคม กฟผ. กล่าวต่อไปว่า ในช่วงที่มีการหยุดผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานา ระหว่างวันที่ 4-12 เมษายน 2556 จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 26,500 เมกะวัตต์ จะส่งผลให้ช่วงดังกล่าวมีกำลังผลิตสำรองในระบบต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งในส่วนของ กฟผ. ได้เตรียมมาตรการรับมือสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบไม่ให้เกิดไฟดับไว้ 8 แนวทาง คือ 1) เตรียมนำโรงไฟฟ้าน้ำมันเตา และน้ำมันดีเซล เดินเครื่องทดแทนโรงไฟฟ้าก๊าซที่หายไป โดยคาดการณ์ว่าจะดึงโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงน้ำมันเตามาทดแทน 130 ล้านลิตร และน้ำมันดีเซล 75 ล้านลิตร 2) รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก หรือ SPP เพื่อเสริมระบบ 3) เดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังน้ำจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเต็มที่ ได้แก่ โรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ขนาด 600 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ขนาด 960 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าเทิน-หินบุน ขนาด 440 เมกะวัตต์ และ โรงไฟฟ้าห้วยเฮาะ ขนาด 126 เมกะวัตต์ 4) เร่งรัดและจัดแผนทดสอบโรงไฟฟ้าทั้งหมดที่อยู่ในข่ายต้องเดินเครื่องด้วยเชื้อเพลิงดีเซลให้มีความพร้อมในการเดินเครื่องก่อนเริ่มหยุดผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยานาดา 5) ประสานงานกรมชลประทานเพิ่มการระบายน้ำในการผลิตไฟฟ้า ลดใช้น้ำมันให้น้อยลง 6) เลื่อนแผนบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าทั้งหมดในช่วงหยุดผลิตก๊าซ 7) ประสานงานการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ย้ายโหลดสถานีไฟฟ้าแรงสูงลาดพร้าว และสถานีไฟฟ้าแรงสูงรัชดาภิเษก และประสานงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ย้ายโหลดออกจากบริเวณสถานีไฟฟ้าแรงสูงสามพราน 1 ประมาณ 200 เมกะวัตต์ ไปสถานีไฟฟ้าแรงสูงข้างเคียง เพื่อช่วยเพิ่มแรงดันที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงบางกอกน้อย และ 8) ประสานงาน กฟภ. และ กฟน. เตรียมแผนดับไฟฟ้า สำหรับรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินหน่วยงานละ 350 เมกะวัตต์
จากแนวโน้มสถานการณ์ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยจะหมดลงในอีก 10 ปี ข้างหน้า ซึ่งประเทศไทยจะต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ อาจส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงในระบบไฟฟ้า ทางเลือกในการนำก๊าซธรรมชาติเหลวในรูปของ LNG จากต่างประเทศ ก็มีราคาสูงเป็น 2 เท่า ทำให้มีผลต่อราคาค่าไฟที่จะต้องปรับขึ้นในอนาคต ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่จะคลี่คลายปัญหาดังกล่าวได้คือ การพัฒนาโรงไฟฟ้าใหม่ในประเทศ โดยแสวงหาเชื้อเพลิงทางเลือกอื่นทดแทนก๊าซธรรมชาติ และที่สำคัญควรเป็นเชื้อเพลิงที่มีความเสถียรต่อระบบไฟฟ้า ทำให้ราคาค่าไฟถูก ซึ่งกระทรวงพลังงาน และ กฟผ. เล็งเห็นว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินนำเข้าเป็นทางออกที่ลงตัวที่สุดในขณะนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ สามารถกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งนานาประเทศได้ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงถ่านหินมาแล้วอย่างยาวนาน และมีแนวโน้มจะผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงดังกล่าวในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย รองผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวในที่สุด
ข่าวเด่น