นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. เปิดเผยว่า อัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือเอฟทีงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2556 ลดลง 5.12 สตางค์ต่อหน่วย อยู่ที่ 49.92 บาทต่อหน่วย
จากงวดที่ผ่านมาอยู่ที่ 52.04 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจากการคำนวณค่าเอฟทีในครั้งนี้ได้รับผลดีจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น จากที่คาดว่าจะอยู่ที่ 30.82 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 29.45 บาทต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าก็ลดลง
สำหรับการใช้น้ำมันเตาและดีเซลทดแทนก๊าซฯในช่วงที่แหล่งยาดานาในสหภาพเมียนมาร์หยุดซ่อม ก็น้อยกว่าแผนโดยใช้น้ำมันเตาอยู่ที่ 86.22 ล้านลิตร จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่ 132 ล้านลิตร และดีเซลใช้จริงอยู่ที่ 38.67 ล้านลิตร จากที่คาดการณ์ 46.10 ล้านลิตร จึงกระทบค่าเฟทีเพียง 2.17 สตางค์ต่อหน่วย ขณะเดียวกันราคาน้ำมันก็ลดลง โดยน้ำมันเตาจาก 21.88 บาทต่อลิตร เป็น 20.63 บาทต่อลิตร ราคาดีเซลจาก 26.55 บาทต่อลิตร เป็น 26.50 บาทต่อลิตร และก๊าซฯจาก 307.17 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 306.77 บาทต่อล้านบีทียู ส่งผลให้สามารถปรับลดค่าเอฟทีงวดนี้ลงได้ โดยส่งผลให้ค่าไฟฟ้าลดลงจาก 3.79 บาทต่อหน่วย เป็น 3.74 บาทต่อหน่วย โดยการรับลดดังกล่าวนับว่าเป็นการปรับลดค่าไฟในรอบ 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2554 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ การปรับลดลงของค่าเอฟทียังสามารถหักกลบลบหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ที่ต้องแบกรับการตรึงค่าเอฟทีในงวดที่แล้วได้ทั้งหมดอีกกว่า 5 พันล้านบาทด้วย
สำหรับการประมูลโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนรายใหญ่ หรือ ไอพีพี จำนวน 5,400 เมกะวัตต์ โดยในวันที่ 29 เมษายนนี้ กกพ. จะเปิดให้เอกชนยื่นซองประกวดราคาด้านเทคนิคและราคาค่าไฟฟ้า ปัจจุบันมีผู้ยื่นซื้อซองจำนวน 89 ซอง ซึ่งเอกชนจะต้องวางหลักปะกันจำนวน 3 ล้านบาทต่อหนึ่งข้อเสนอ จากนั้น กกพ.จะเร่งพิจารณาด้านเทคนิคและราคา จากนั้นจะเสนอคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. พิจารณาต่อไป
ข่าวเด่น