บมจ.ไทยออยล์ วิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ คาดราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวในกรอบที่สูงขึ้น โดยเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 97-105 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเวสต์เท็กซัสเคลื่อนไหวในกรอบ 87-95 เหรียญฯ
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมัน (29 เม.ย. – 3 พ.ค. 56)
ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้คาดว่าจะขยับขึ้นมาเคลื่อนไหวในกรอบที่สูงขึ้นเล็กน้อย โดยตลาดจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปอย่างใกล้ชิดว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นอย่างไร รวมถึงความคืบหน้าของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของอิตาลีที่จะมีส่วนช่วยให้นักลงทุนตลาดคลายความกังวลต่อภาวะหนี้ในยุโรปลงได้ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเสรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ คาดว่าดัชนีชี้วัดภาคการผลิตที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ คาดว่าจะออกมาไม่ดีนัก ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันไม่ให้ปรับสูงขึ้นมากนัก
ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:
• การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค. นี้ จับตาว่าที่ประชุมจะยังคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปหรือไม่ และทิศทางของนโยบาย QE4 จะเป็นอย่างไร หลังมีข่าวว่านโยบายนี้ดังกล่าวอาจสิ้นสุดลงก่อนกำหนด อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดว่าธนาคารฯ จะยังคงนโยบายนี้ไว้ตามเป้าหมายเดิมคือจนกว่าอัตราการว่างงานสหรัฐฯ จะลดลงเหลือ 6.5%
• การประชุมธนาคารกลางยุโรปในวันที่ 2 พ.ค. จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงหรือไม่ หลังประธานธนาคารฯกลาง ส่งสัญณญาณของความเป็นไปได้ที่จะในการปรับลดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยหวังว่าการลดอัตราดอกเบี้ยลงจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของภูมิภาคฯ ให้ดีขึ้นได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ตลาดมองว่าการปรับลดในครั้งนี้อาจทำให้นักลงทุนมีการโยกย้ายเงินลงทุนเข้ามาในตลาดเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกดดันราคาน้ำมัน
• คาดว่าจะมีความคืบหน้าในการจัดตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ของอิตาลีในสัปดาห์หน้า หลังล่าสุดนายเอ็นริโก้ เล็ตตา นายกรัฐมนตรีคนใหม่กำลังเร่งจัดตั้งคณะรัฐบาลเพื่อเตรียมเสนอขอความอนุมัติจากรัฐสภา โดยหลายฝ่ายคาดว่าคณะรัฐบาลที่มีแกนนำเป็นนายเล็ตตาจะได้รับการสนับนสนุนจากทั้งพรรคกลาง-ซ้าย (Democratic Party, PD) ของตนเองและพรรคกลาง-ขวา (People of Freedom, PDL) ที่มีอดีตนายกรัฐมนตรีซิลวิโอ แบร์ลุสโคนีเป็นผู้นำ
• ดัชนีชี้วัดภาคการผลิตที่อาจยังไม่ดีมากนักของสหรัฐฯ (PMI/ISM) จีน (Official/HSBC) และยูโรโซน ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่กดดันราคาน้ำมันไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก อย่างไรก็ตาม ยังมีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าจับตา ได้แก่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ และยูโรโซน ดัชนีชี้วัดภาวะเศรษฐกิจยูโรโซน การจ้างงานภาคเอกชน-นอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานสหรัฐฯ รวมทั้งดัชนีภาคบริการของจีนและยูโรโซน
• สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะการใช้อาวุธเคมีปราบจลาจลในซีเรีย รวมถึงการปะทะกันของกองกำลังรัฐบาลอิรักกับผู้ประท้วงชาวสุหนี่หนี่ เหตุระเบิดสถานทูตฝรั่งเศสในลิเบียและความรุนแรงในไนจีเรียที่อาจแผ่ขยายไปในภูมิภาคและอาจกระทบต่อกำลังผลิตและส่งออกน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (22 – 26 เม.ย. 56)
ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นทั้งหมด โดยเวสต์เท็กซัสปรับเพิ่มขึ้น 4.99 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 93.00 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล เบรนท์เพิ่มขึ้น 3.51 เหรียญฯ ปิดที่ 103.16 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล และดูไบเพิ่มขึ้น 2.92 เหรียญฯ มาอยู่ที่ 100.89 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบดีดตัวสูงขึ้นอีกครั้งเนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าความรุนแรงในตะวันออกกลางจะกระทบการผลิตและส่งออกของภูมิภาคฯ หลังมีข่าวการใช้อาวุธเคมีของรัฐบาลซีเรียในการต่อสู้ในสงครามกลางเมือง
นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากตัวเลขปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังสหรัฐฯ ที่ลดฮวบเหนือคาดกว่า 3.9 ล้านบาร์เรล เนื่องจากมีโรงกลั่นหยุดดำเนินการกะทันหัน ประกอบกับตัวเลขตลาดบ้านสหรัฐฯ ทั้งดัชนีราคาบ้านเดือน ก.พ. ยอดขายบ้านใหม่เดือน มี.ค. และราคาบ้านมือสองเดือน เม.ย. ที่ต่างปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 7 ปี และจีดีพีไตรมาส 1/56 ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาดโดยมีการขยายตัวเพียง 2.5%จากไตรมาสก่อน รวมถึงและตัวเลขเศรษฐกิจจีนและยุโรปที่ออกมาไม่ดี ทั้งดัชนีภาคการผลิตจีน (Flash HSBC) ที่หดตัวลงมาอยู่ที่ 50.6 จาก 51.6 ในเดือนก่อนหน้า ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจเยอรมนี (Ifo) ที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ดัชนีภาคการผลิตและบริการ (Flash Composite PMI) ของยูโรโซนที่ยังคงหดตัวต่อที่ 46.5 และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจยูโรโซนที่ติดลบที่ -22.3 ในเดือน เม.ย. เป็นปัจจัยยังคงเป็นแรงกดดันราคาในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ข่าวเด่น