|
|
|
|
|
|
นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐบาลพรรประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว ใช้ชื่อว่า Korn Chatikavanij โดยมีเนื้อหาด้วยหัวข้อว่า "อย่าลุอำนาจ" ระบุเนื้อหาดังนี้
“เมื่อประมาณ 4-5 เดือนก่อน ผมได้พบกับรองผู้ว่าฯแบงค์ชาติท่านหนึ่งในงานศพ ผมได้บอกท่านว่า ผมมั่นใจว่ารัฐบาลนี้จะต้องกล่าวหาแบงค์ชาติต่อเนื่องและช่องทางที่เขาจะใช้ก็คือการโจมตีเรื่องการ 'ขาดทุน' จากการถือดอลล่าร์ที่ได้มาจากการขายเงินบาทเพื่อบริหารไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเกินไป
ผมกำชับไปด้วยว่าแบงค์ชาติต้องลงมาจากหอคอยงาช้างและอธิบายให้ประชาชนเข้าใจว่าการ 'ขาดทุน' นั้น ข้อเท็จจริงเป็นเช่นใด เพราะรัฐบาลนี้เขาเก่งที่จะเอาความจริงมาครึ่งเดียวและขยายผลเพื่อโจมตีฝั่งตรงข้ามและเมื่อวานนี้เราเห็นภาพชัดแล้ว ว่าที่ผมและหลายคนคาดการไว้ เป็นจริงทั้งหมด รวมถึงการยกตัวเลข 'ขาดทุน 1 ล้านล้าน' ขึ้นมาด้วยเป้าหมายที่จะทำลายความน่าเชื่อถือในตัวผู้ว่าแบงค์ชาติ
ผมได้อ่านบทความที่อดีตรัฐมนตรีคลังคุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ได้เขียนในเฟซบุ๊คของท่านเมื่อวานนี้ ท่านได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่มีตรรกะที่น่าคิดอยู่หลายข้อ เช่นการขาดทุนในบัญชีที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการที่เงินดอลล่าร์ในมืออ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท แต่ข้อเท็จจริงคือเงินดอลล่าร์ของเราเป็นเงินสำรองที่สะสมมาตั้งแต่หลังวิกฤติปี 2540 โดยหลายผู้ว่าฯ จะมาโทษผู้ว่าคนปัจจุบันทั้งหมดได้อย่างไร
และนอกจากนั้น การแทรกแซงในตลาดเงินก็เป็นหน้าที่โดยตรงของแบงค์ชาติ เพื่อรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเลี่ยน เพื่อภาคธุรกิจจะได้ค้าขายได้ ถ้าแบงค์ชาติไม่ทำอะไรเลย เอกชนและประเทศชาติอาจจะเสียหายมากกว่านี้
มีนักวิชาการอีกท่านหนึ่งคือดร. วิรไท สันติประภพได้เขียนบทความในเรื่องนี้ไว้ว่า เราควรเปรียบเทียบว่า การขาดทุนของแบงค์ชาตินั้นเมื่อเทียบกับงบประมาณแผ่นดินปัจจุบัน มีค่าเท่ากับเพียงประมาณ 0.5% ของงบโดยรวมในแต่ละปีเท่านั้น หรือเท่ากับโครงการรถคันแรก แต่ผู้ได้ประโยชน์อาจจะมากกว่าเยอะ
นอกจากนั้นในประเด็นว่าแบงค์ชาติควรลดดอกเบี้ยนโยบายลงหรือไม่ ดร.วีรไทก็ได้ชี้ให้เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวได้ปรับขึ้นแม้ตอนที่แบงค์ชาติได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ความหมายก็คือการลดดอกเบี้ยไม่ได้มีผลแต่อย่างใด และส่วนหนึ่งคุณธีระชัยเองก็ได้ชี้ให้เห็นว่า อาจเป็นเพราะรัฐบาลเองกู้เยอะ จึงทำให้มีพันธบัตรรองรับความต้องการของทุนต่างชาติมากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยประเทศอื่นในเอเชียส่วนใหญ่ก็สูงกว่าของไทยอีกด้วย จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุที่ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า ที่เงินบาทแข็งนั้นเป็นเพราะดอกเบี้ยเราสูงจริงหรือ
ที่ผมอยากจะเสริมก็คือ การลดดอกเบี้ยในช่วงที่รัฐบาลอัดฉีดเงินเข้าไปในเศรษฐกิจเต็มที่อย่างปัจจุบัน เป็นเรื่องที่อันตรายมาก โดยเฉพาะเมื่อการว่างงานเราต่ำมาก และทั้งหุ้นทั้งอสังหาฯเริ่มส่งสัญญาณที่ทำให้ต้องระมัดระวังเรื่องการก่อตัวฟองสบู่
การดูแลค่าเงินประเทศอย่างเรามีข้อจำกัดค่อนข้างมาก แต่ผมมองว่าผู้ที่ทำได้มากที่สุดในเวลานี้คือกระทรวงคลัง ไม่ใช่แบงค์ชาติ ผมเคยเขียนไว้แล้วว่า นักเก็งกำไรวันนี้เขาไม่ได้กลัวการปรับลดดอกเบี้ย แต่เขากลัวมาตรการ 'การสกัดทุน' (capital controls) มากกว่า และเครื่องมือทางภาษีอยู่ที่คลังหมด ผมเองก็เคยใช้มาแล้วในช่วงปี 2553 โดยก็ได้ปรึกษาแนวทางร่วมกันกับท่านผู้ว่าคนปัจจุบัน (จำได้ว่านั่งคุยกันอยู่ที่ลอบบี้โรมแรมแห่งหนึ่งที่กรุงวอชิงตัน ก่อนเข้าประชุมธนาคารโลก) ครั้งนั้นก็เรียบร้อยและมีผลสำเร็จเป็นอย่างดี
ดังนั้นกระทรวงคลังไม่ควรออกมากล่าวโทษแบงค์ชาติอย่างนี้ และดร.วีรไท ได้แนะนำด้วยว่ารัฐบาลเองก็ต้องทบทวนมาตรการต่างๆที่หวังผลกระตุ้นเศรษฐกิจจนเกินไป เพราะทั้งหมดมีผลต่อการดึงดูดเงินทุนต่างประเทศทั้งสิ้น
ตอนนี้ศึกนี้ดูเหมือนกลายเป็นเรื่องทิฐิไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในการบริหารในระดับประเทศ ทุกฝ่ายต้องลดอัตตาและหันมาร่วมมือกันด้วยเหตุผลและความจริงใจครับ
ถ้ารัฐบาลยังดื้อดึงจะปลดผู้ว่าฯเพียงเพราะ 'สั่งไม่ได้' ผมยืนยันว่าเสียหาย และเป็นเรื่องแน่นอนครับ
|
บันทึกโดย : Adminวันที่ :
03 พ.ค. 2556 เวลา : 11:56:52
|
|
|
|
|
ข่าวเด่น