ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ร่วมกับ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 35 แห่ง จำนวน 65 คน เรื่อง “ผู้ว่าฯ ธปท. ดอกเบี้ย และรัฐมนตรีฯ คลัง กับปัญหาค่าบาทแข็ง” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 16 – 22 พ.ค. ที่ผ่านมา พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 63.1 กังวลมากถึงมากที่สุดต่อปัญหาความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐมนตรีฯ คลัง กับ ผู้ว่าฯ ธปท. ส่วนร้อยละ 32.3 กังวลน้อยถึงน้อยที่สุด เมื่อถามว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน ถึงเวลาหรือยังที่ต้องใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะในประเด็นค่าเงินบาท ร้อยละ 46.2 เห็นว่ายังไม่ถึงเวลา โดยให้เหตุผลว่า อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่ต้นตอของปัญหา อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยไม่ใช่เครื่องมือดูแลค่าเงินบาทที่มีประสิทธิภาพ หากแต่เป็นเครื่องมือที่ใช้ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่ร้อยละ 29.2 เห็นว่าถึงเวลาแล้ว เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งเพราะดอกเบี้ยสูงกว่าประเทศอื่นๆ ทำให้เงินไหลเข้าประเทศทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ประกอบกับเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มชะลอตัว นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 49.2 ยังเห็นว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 1.0 เป็นการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าที่ไม่ถูกทาง ขณะที่ร้อยละ 18.5 เห็นว่าถูกทางแล้ว และร้อยละ 55.4 เห็นว่า กนง. ควรปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยควรให้ความสำคัญกับภาวะเงินเฟ้อมากกว่าค่าเงินบาท ขณะที่ร้อยละ 18.5 เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับค่าเงินบาทมากกว่า สำหรับ ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในวันที่ 29 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 41.5 คาดว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 2.50 ขณะที่ร้อยละ 38.5 คาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมที่ร้อยละ 2.75 ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 73.8 เห็นว่านโยบายการเงินจำเป็นต้องสอดประสานกับนโยบายการคลัง มีเพียงร้อยละ 10.8 เท่านั้นที่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องสอดประสานกัน สุดท้ายเมื่อถามว่ามีความเชื่อมั่นมากน้อยเพียงใดต่อการทำหน้าที่ ผู้ว่าฯ ธปท. ของคุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล โดยเฉพาะการเตรียมมาตรการรองรับค่าเงินบาทแข็ง ร้อยละ 80.0 เชื่อมั่นมากถึงมากที่สุด มีเพียงร้อยละ 13.8 ที่เชื่อมั่นค่อนข้างน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลย ส่วนสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ต้องการบอก ผู้ว่าฯ ธปท. และ รัฐมนตรีฯ คลัง เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้น มีดังนี้ (1) หันหน้าเข้าหากัน เปิดใจรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ให้เกียรติกัน โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง (2) เข้าใจอำนาจหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ไม่ก้าวก่ายอำนาจกัน ไว้ใจและเชื่อมั่นกัน แล้วแก้ไขปัญหาตามอำนาจที่มีโดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ (3) อย่าใช้ทิฐิ ตัดสินใจอย่างชาญฉลาดภายใต้ข้อมูลและประสบการณ์ที่มี ใช้สื่อให้น้อยลงเพื่อไม่ให้มีข่าวหลุดออกไปเพราะจะดูไม่ดีในตลาด และประสิทธิภาพของเครื่องมือจะลดลง
ข่าวเด่น