ตลาดหุ้นอเมริกาและยุโรป ปิดตลาดเมื่อคืนนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 2 วัน โดยตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (26 มิถุนายน 2556) ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 149.83 จุด หรือ 1.02% ปิดที่ 14,910.14 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 15.23 จุดหรือ 0.96% ปิดที่ 1,603.26 และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 28.34 จุด หรือ 0.85% ปิดที่ 3,376.22 จุด
 
ขณะที่ ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ ดัชนี Stoxx 600 พุ่งขึ้น 1.7% ปิดที่ 284.54 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,165.48 จุด เพิ่มขึ้น 63.57 จุด หรือ +1.04% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 7,940.99 จุด เพิ่มขึ้น 129.69 จุด, +1.66% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3,726.04 จุด เพิ่มขึ้น 76.22 จุด หรือ +2.09%

สาเหตุที่ตลาดหุ้นสำคัญทั้งอเมริกาและยุโรปดีดตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนผ่อนคลายจากความวิตกกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดขนาดการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หลังจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ชะลอตัวลง โดยทางการสหรัฐได้เปิดเผยการประมาณการจีดีพีไตรมาสแรกครั้งสุดท้ายเมื่อค่ำวานนี้ตามเวลาไทย โดยระบุว่าจีดีพีขยายตัวในอัตรา 1.8% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.4% ต่อปี หลังจากมีการปรับทบทวนอัตราการเติบโตของการใช้จ่ายผู้บริโภคลงมาอยู่ที่ระดับ 2.6% จากระดับ 3.4% ซึ่งการใช้จ่ายผู้บริโภคนั้นมีสัดส่วนคิดเป็น 2 ใน 3 ของผลผลิตทางเศรษฐกิจ
 
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางจีนได้ออกมาคลี่คลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะสภาพคล่องตึงตัว ซึ่งธนาคารกลางจีนออกแถลงการณ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า ธนาคารกลางได้จัดหาสภาพคล่องอย่างเพียงพอให้กับสถาบันการเงินบางแห่งที่ดำเนินการตามข้อกำหนดนโยบายเศรษฐกิจมหภาคแบบรัดกุมรอบคอบ
 
ขณะเดียวกัน GfK ได้มีการเปิดเผยรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเยอรมนีในเดือนก.ค.พุ่งขึ้นแตะ 6.8 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่เดือนก.ย.2550 หรือในรอบเกือบ 6 ปี เมื่อเทียบกับระดับ 6.5 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองบวกของผู้บริโภคที่ได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น