จีที เวลธ์ สรุปภาวะ Precious Metals Futures ภาคเช้า วันนี้ (12 กรกฎาคม 2556) ราคาทองคำในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น US$21.05 ต่อออนซ์ ปิดที่ระดับUS$1,284.69 ต่อออนซ์(Gold spot) ราคาทองปรับตัวทำระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ โดยได้รับแรงหนุนหลังคณะกรรมการ FOMC ส่วนใหญ่ต้องการหลักฐานยืนยันว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯได้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งก่อนที่จะชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ถ้อยแถลงการ์ของนายเบน เบอร์นันเก้เมื่อวันพุธยังระบุชัดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังเป็นสิ่งจำเป็นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์เทียบสกุลเงินหลักที่เคยแข็งค่าอย่างต่อเนื่องจากความกังวล FED ชะลอ QE ปรับอ่อนค่าลงโดยอยู่ที่ระดับ 82.8 ซึ่งหนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำและน้ำมัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีสหรัฐฯลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 2.5% ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯปรับเพิ่มขึ้น 16,000 รายสู่ระดับ 360,000รายยิ่งย้ำความมั่นใจของตลาดต่อความจำเป็นของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯขณะที่ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นเช้านี้ใกล้ 31.10 THB/US$ กองทุน SPDR รายงานการถือครองทองคำคงที่ระดับ 939.07 ตัน ราคาทองคำโลกเช้านี้ (Gold Spot) เคลื่อนไหวเหนือระดับ US$1,280 โกลด์ฟิวเจอร์สัญญาสิ้นสุดอายุเดือนสิงหาคม 2556 (GFQ13) ราคาเปิดเช้านี้ที่ 19,020 บาท ส่วนราคาทองคำที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำวันนี้ ราคาเสนอซื้อ 18,850 บาท ราคาเสนอขาย 18,950 บาท แนวโน้มทองคำ นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัดและผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า หลังจากนาย เบน เบอร์นันเก้ ออกมาย้ำความจำเป็นของมาตรการQE ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ตลาดกลับมามั่นใจอีกครั้งว่ามาตรการ QE จะยังมีต่อไปในอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากอัตราว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับสูงและเงินเฟ้อยังอยู่ภายใต้การควบคุมของ FED ทั้งนี้เราเชื่อว่าที่ผ่านมาสิ่งที่ FED ทำเป็นเพียงการหยั่งเชิง Reaction ของตลาดเท่านั้นว่าจะมีอย่างไรหาก FED ชะลอ QE ลง ซึ่งที่ผ่านมาเราก็เห็นชัดเจนแล้วว่าทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่เศรษฐกิจสหรัฐฯเองยังไม่พร้อมเนื่องจากเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้บริโภคและกดดันตลาดบ้านที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว ดังนั้นราคาทองในช่วงนี้จะยังได้รับแรงหนุนต่อไปอีกระยะหนึ่ง โดยเราให้กรอบแนวต้านทางเทคนิคที่ US$1,300-1,350 ต่อออนซ์ และเป็นการฟื้นตัวของราคาในช่วงขาลงเท่านั้น โดยเรายังต้องจับตาตัวเลขการจ้างงานและอัตราว่างงานสหรัฐฯต่อไปเพื่อหาสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดการจ้างงานสหรัฐฯ
ข่าวเด่น