ศาลสั่งยกฟ้อง “แก้วสรร อติโพธิ” กรณีหมิ่นประมาท “ทักษิณ” ในรายการแกะรอยคอร์รัปชั่น เป็นแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนเท่านั้น
ที่ห้องพิจารณาคดี 808 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (27 ส.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.2226/2550 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายศราวุธ นาคะปัท ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ฟ้องนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
คำฟ้องโจทก์ระบุว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2550 จำเลยได้จัดรายการแกะรอยคอร์รัปชั่น ที่ออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 โดยใส่ความโจทก์โดยการโฆษณา ด้วยการกระจายภาพและเสียง ทำนองว่าโจทก์ทำการซุกหุ้นบริษัท ชินคอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชังจากบุคคลที่ได้ยินและประชาชนทั่วไป เหตุเกิดที่แขวงสนามเป้า เขตพญาไท และแขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม.
โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดี แต่ต่อมาโจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องไว้พิจารณา ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้ดำเนินรายการแกะรอยคอร์รัปชั่น ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 และเมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2550 จำเลยพูดในรายการทำนองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีทำการซุกหุ้นชินคอร์ปฯ ไปมาจนวุ่นวายและต่อมาขายให้กับสิงคโปร์ ก็หนีภาษีอีก โดยพยานโจทก์เบิกความว่า โจทก์ได้ถ่ายโอนหุ้นชินคอร์ป ให้นายพานทองแท้ ชินวัตรและญาติก่อนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีเจตนาที่จะเลี่ยงภาษี ซึ่งการโอนหุ้นดังกล่าวมีหลักฐานยืนยันว่าขายให้กับกลุ่มเทมาเส็กของสิงคโปร์ และเป็นการขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ ไม่จำเป็นต้องเสียภาษี ขณะที่จำเลยเบิกความว่า ขณะนั้นดำรงตำแหน่งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ได้พูดแสดงความคิดเห็นส่วนตัวในรายการ แกะรอยคอร์รัปชั่น กรณีการตรวจสอบหุ้นชินคอร์ป เห็นว่า การที่จำเลยจัดรายการดังกล่าวเพื่อเป็นการให้ความรู้แก่ประชาชน หรือนำข้อเท็จจริงที่ได้จากการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปดังกล่าวมาเปิดเผยให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ และในภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2553 ให้ยึดทรัพย์สิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 ซึ่งสอดคล้องกัน แสดงว่าข้อความที่จำเลยพูดนั้นไปตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง เป็นการแสดงความคิดเห็นและติชมโดยสุจริต ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งใส่ร้ายโจทก์ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท พิพากษายกฟ้อง
นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส.ได้กล่าวภายหลังศาลมีคำพิพากษาว่า การจัดรายการแกะรอยคอร์รัปชั่นดังกล่าว เป็นการเผยแพร่ข้อมูลเป็นประโยชน์แก่ประชาชนให้รับทราบว่าข้อมูล ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะหากทุกอย่างเป็นความลับ ก็คงไม่สามารถสื่อถึงประชาชนได้ ศาลจึงได้ยกฟ้อง ซึ่งจะเป็นบรรทัดฐานให้แก่ประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และการทำหน้าที่ของ คตส.ในขณะนั้นเป็นการทำหน้าที่โดยชอบธรรมตามขั้นตอนกระบวนการ
ส่วนเรื่องการพิจารณาออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนั้น สามารถทำได้หากเป็นการนิรโทษกรรมในประเด็นที่เป็นความผิดทางการเมือง แต่ไม่ควรนิรโทษกรรมให้แก่ความผิดอาชญากรรม เช่น การวางเพลิง, ระเบิด หรือปล้น ที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ทั้งนี้ หากกลุ่มการเมืองลดการจัดตั้งมวลชน ไม่แบ่งฝ่าย และให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายก็จะสามารถเข้าสู่การปรองดองได้
ข่าวเด่น