บล.เมย์แบงค์ กิมเอ็ง วิเคราะห์หุ้น กลุ่มพลังงาน (Energy Sector) แนะทยอยสะสมตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ประเด็นการลงทุน : เราเชื่อว่าภาพการที่หุ้นกลุ่มพลังงานเริ่มกลับมา Outperformed ตลาดฯในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาจะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอีกในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า โดยมีปัจจัยหนุนจากการที่สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯมีความต่อเนื่อง ภาพดังกล่าวจะถูกตอกย้ำหากเฟดมีการลดขนาดวงเงิน QE ลงจริง ดังนั้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานจึงเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัยหากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็น QE ในขณะเดียวกันตัวเลขเศรษฐกิจของจีนในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เริ่มส่งสัญญาณว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนมีโอกาสสิ้นสุดแล้ว แม้จะไม่ได้เป็นปัจจัยหนุนแต่ก็ถือว่าเป็นการลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลกได้เป็นอย่างดี Figure 1 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มพลังงานปรับตัวแย่กว่าตลาดหลังปี 2553 สวนทางกับราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเดียวกัน
น้ำหนักการลงทุน Neutral: แม้เรามีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มพลังงานมากขึ้น แต่เราให้น้ำหนักการลงทุนเพียง Neutral เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มพลังงานมีจุดเด่นเพียงในด้านของ Valuation ที่ไม่แพง ความเสี่ยงของธุรกิจลดลง แต่ในเชิงของการเติบโตของกำไรสุทธิยังคงไม่โดดเด่น หากพิจารณาจาก Score card ของเราพบว่า PTT PTTEP PTTGC และ BCP มีความน่าลงทุนมากที่สุด จุดเด่นของ PTT PTTGC และ BCP คือ ผลตอบแทน PTTEP คือ เสถียรภาพของผลประกอบการและฐานะทางการเงิน ในขณะนี้เราชอบหุ้นพลังงานต้นน้ำมากที่สุด (PTTEP) ส่วนหุ้นถ่านหิน (BANPU) ยังคงถูกกดดันจากอุปทานส่วนเกิน แต่การที่ราคาหุ้นเผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ปี 2553 ทำให้กลายเป็นหุ้นที่ปลอดภัยจากแรงขายของต่างชาติในรอบนี้
ยังคงน้ำหนักการลงทุน Neutral
ถึงแม้ว่าเราจะชอบหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่เราให้น้ำหนักการลงทุนในระดับเพียง Neutral เนื่องจาก ปัจจุบันกลุ่มพลังงานมีจุดเด่นเพียงในด้านของ Valuation ที่ไม่แพง ความเสี่ยงของธุรกิจลดลง แต่ในเชิงของการเติบโตของกำไรสุทธิยังคงไม่โดดเด่น (คาดกำไรสุทธิรวมปี 56-57 ขยายตัว 1.5% และ 7.6% ตามลำดับ) ทั้งนี้ ปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญต่อการเติบโตของกำไรสุทธิ คือ ราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเราประเมินว่ายังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ไม่มากในช่วง 12 เดือนข้างหน้า (เราใช้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบ 105 เหรียญต่อบาร์เรลในปี 2556-57) เนื่องจากระดับของกำลังการผลิตส่วนเกินของกลุ่มโอเปกจะปรับขึ้นสู่ 4 ล้านบาร์เรลต่อวันเทียบกับค่าเฉลี่ย 2.57 ล้านบาร์เรลต่อวัน ดังนั้นหากระดับของกำลังการผลิตส่วนเกินลดลงใกล้ค่าเฉลี่ยหนุนโดยความต้องการใช้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและสะท้อนไปที่ราคาน้ำมันดิบให้เพิ่มขึ้นเราอาจพิจารณาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนกลุ่มพลังงานขึ้นเป็น Overweight
ชอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันมากกว่าถ่านหิน
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นเราชอบหุ้นที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันโดยเฉพาะพลังงานต้นน้ำมากที่สุดในขณะนี้ (PTTEP) ขณะที่ส่วนหุ้นถ่านหิน (BANPU) เรายังคงเห็นว่า แนวโน้มราคาถ่านหินยังคงถูกกดดันจากอุปทานที่คาดว่าจะออกมาอีกมาก แต่การที่ราคาหุ้นเผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติมาตลอดตั้งแต่ปี 2553 ทำให้กลายเป็นหุ้นที่ปลอดภัยจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในรอบนี้ ในเชิงกลยุทธ์เรายังคงแนะนำ Trading Buy ราคาเป้าหมาย 12 เดือน 295 บาท (จาก 265 บาท) หุ้นกลุ่มโรงกลั่น ถือว่าเป็นหุ้นที่เติบโตตามเศรษฐกิจเช่นกัน แต่มีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นพลังงานอื่นในเรื่องความสามารถในการทำกำไร เนื่องจากมีปัจจัยกดดันจากทั้งอุปทานส่วนเกิน และ ต้นทุนการผลิตมีโอกาสเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ หากพิจารณาจาก Score card ของเรา พบว่า PTT PTTEP PTTGC และ BCP มีระดับคะแนนที่น่าลงทุนมากที่สุด โดยจุดเด่นของ PTT PTTGC และ BCP คือ ผลตอบแทน PTTEP คือ เสถียรภาพของผลการดำเนินงาน และ ฐานะทางการเงิน
PTTEP และ BCP เป็น Top pick
ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยบวกต่อผู้ประกอบการสำรวจและผลิต ได้แก่ PTTEP ที่เรายังคงเลือกเป็น Top pick จากแนวโน้มผลประกอบการที่ได้ปัจจัยบวกจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากโครงการมอนทาราใน 2H56 และโครงการซอติก้าใน 1H57 นอกจากนั้นเราคาดว่าความคืบหน้าของโครงการ Rovuma Offshore Area 1 ยังจะเป็นปัจจัยบวกต่อ PTTEP ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าอีกด้วย แนะนำ ซื้อ PTTEP เราทำการเปลี่ยนไปใช้ราคาเป้าหมาย 12 เดือนที่ 188 บาท (จาก 182 บาท) และส่งผลทำให้ราคาเป้าหมายของ PTT เพิ่มขึ้นเป็น 395 บาท (จาก 390 บาท)
ในมุมมองของเราธุรกิจน้ำมันขั้นปลายจะไม่ได้ผลบวกโดยตรงจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำมันถือเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการโรงกลั่น จากมุมมองของเราที่คาดความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะเป็นปัจจัยหนุนในระยะสั้น ราคาน้ำมันจะกลับมาในระดับ 100-110 เหรียญซึ่งมีความเหมาะสมทั้งกับผู้ผลิตและผู้ใช้มากกว่า ดังนั้นหากมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันใน 3Q56 จำนวนมาก อาจทำให้มีผลขาดทุนในไตรมาสถัดๆ ไป และแม้ PTTGC จะมีลำดับตาม Score card ใน Figure 4 สูงกว่า BCP แต่เราประเมินว่าประเด็นน้ำมันรั่วยังอาจมีผลกดดันได้ในอนาคต ดังนั้นเราเลือก BCP เป็น Top pick ในธุรกิจน้ำมันขั้นปลาย เนื่องจากผลประกอบการที่มีแข็งแกร่งกว่ากลุ่มจากกำไรจากธุรกิจการตลาดน้ำมันและโซล่าร์ฟาร์ม ทำให้ BCP เป็นหุ้นโรงกลั่นที่มีความ Defensive สูงที่สุด นอกจากนั้นหากพิจารณาการถือสัดส่วนของต่างชาติพบว่า BCP เป็นหุ้นที่ถูก rerate เพิ่มขึ้นต่อเนื่องภายหลังโครงการ PQI แล้วเสร็จแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 41 บาท
ราคาน้ำมันปรับขี้นจากความกังวลอุปทาน การฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกช่วยหนุนระยะยาว
ราคาน้ำมันในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง ราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มจาก 100 เหรียญต่อบาร์เรล ณ. สิ้น 2Q56 เป็นสูงกว่า 110 เหรียญต่อบาร์เรลจากความกังวลต่อภาวะอุปทานตึงตัว หลังเกิดปัญหาความไม่สงบในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เราเชื่อว่าการปรับขึ้นดังกล่าวคาดจะเป็นปัจจัยระยะสั้น เรายังคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบปี 2556-2557 ที่ 105 เหรียญต่อบาร์เรล (ค่าเฉลี่ยในช่วง 8M56 ที่ 105 เหรียญต่อบาร์เรล)
อย่างไรก็ตามในระยะยาวเราเชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะมีส่วนช่วยหนุนอุปสงค์การใช้น้ำมันและจะช่วยดูดซับกำลังการผลิตส่วนเกินของกลุ่มโอเปก ซึ่งกลุ่มโอเปกจะมีส่วนในการช่วยจำกัด Downdie ของราคาน้ำมันเพื่อไม่ให้ลดต่ำลงกว่า 100 เหรียญอีกด้วย
ข่าวเด่น