|
|
|
|
|
|
รายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน วันเสาร์ที่ 7 กันยายน 2556 เป็นการสัมภาษณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจ และการส่งออกของไทย
นายกฯ กล่าวถึง ภาพรวมเศรษกิจไทยว่า อยากเล่าถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกก่อนว่า วันนี้มีความผันผวน ภาวะเศรษฐกิจต่างๆ ส่งมาสู่ภูมิภาคเอเชียมากขึ้น การที่เศรษฐกิจ อียู สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นชะลอตัวลง ทำให้ภูมิภาคอาเซียนโตขึ้น นอกจากนี้ มาตรการคิวอี ทำให้ความผันผวนของค่าเงิน มีการแข็งค่าขึ้น มองว่าครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น และวันนี้เทคโนโลยีต่างๆเปลี่ยนแปลงไปเยอะ บางอุตสาหกรรมก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไป เราก็ต้องติดตาม เช่น ฮาร์ดดิส เราต้องเริ่มมองว่าเริ่มมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งเราจะได้ติดตามในการใช้เทคโนโลยี พัฒนา วิจัยส่งเสริมด้านเทคโนโลยี และประการสุดท้าย คือเอฟทีเอ หลายประเทศต้องเริ่มอาศัย เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ได้โตในช่วงที่ผ่านมา เราจะทำอย่างไรให้การค้าการลงทุนโตมากขึ้นก็มีการคุยเรื่องกรอบภาษีเป็น 0 การมีสิทธิพิเศษต่างๆ ก็อยากให้พี่น้องประชาชนติดตามในเรื่องอุตสาหกรรมต่างๆ
ถ้ากลับมาดูประเทศไทย หลายท่านคงเห็นว่าวันนี้ทิศทางต่างๆเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ แต่ถ้าเทียบกับปีที่แล้วค่อนข้างยาก เพราะเป็นการฟื้นฟูหลังอุทกภัย ปี 55 สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา(54) แต่พอมาปี 56 ก็ต้องเทียบกับการเติบโตกับอัตราปกติ ซึ่งเรายังเติบโตอยู่แต่ยังไม่เท่ากับที่เราอยากได้ ของเราเองเทียบภูมิภาคอื่นในแถวๆนี้ก็โตได้ใกล้เคียงกัน จุดของรัฐก็ต้องมาดูว่าทำอย่างไรให้มาตรการที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการเติบโตในประเทศ
นายกฯ กล่าวถึงการส่งออกของไทยว่า จริงๆแล้วการเติบโตของเศรษฐกิจ ตัวจีดีพีเดิมเราพึ่งการส่งออก 70-80% พอตลาดใหญ่ลดตัวลงมารายได้ก็ลด ก็ต้องมาเร่งภายในประเทศ แต่ช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านความสมดุล อาจจะเห็นว่าตัวเลขการส่งออกของเราลดลง ตอนนี้เราก็พยายามปรับสมดุลระหว่างรายได้ส่งออกและรายได้ในประเทศ ทำอย่างไรในเรื่องการเติบโต ก็ต้องดูการใช้จ่ายภาครัฐ มีการเร่งหน่วยงาน กระทรวง ซึ่งเป็นไปตามที่วางไว้ แต่พอดูการลงทุนภาครัฐอาจไม่ได้ลงทุนตามแผนที่วางไว้ เช่น โครงการน้ำ 3.5 แสนล้าน หรือโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท แต่เราก็ไม่นิ่งนอนใจไปเร่งโครงการต่างๆให้เสร็จทันในไตรมาส 3 บางส่วนก็ต้องไปต่อในไตรมาส 4 นี่คือส่วนหนึ่งจากการใช้จ่ายของภาครัฐ ส่วนที่สองคือ การลงทุนของภาคเอกชน เห็นว่าบริษัทใหญ่ๆไปขยายในปี 2555 หลังอุทกภัย ทำให้ปีนี้ตัวเลขไม่สูงมากเมื่อเทียบปี 55 ที่ได้ลงทุนไปแล้ว แต่ก็ได้ส่งเสริมการลงทุน มีสัญญาณที่ดีขึ้น ซึ่งนักลงทุนต้องการลงทุนในไทยมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้สะท้อนในปีนี้ เพราะต้องมีขั้นตอนอย่างน้อยเร็วสุด 6 เดือนหรือ 1 ปี ต้องใช้เวลา
นายกฯ กล่าววา จากการที่เดินทางไปต่างประเทศ เขาก็มีความสนใจมากขึ้น ด้วยนโยบายต่างๆของภาครัฐ เช่น การปรับลดภาษีนิติบุคคล การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ก็มีตัวเลขส่งเสริมการลงทุนจากข้อมูลของบีโอไอที่เพิ่มขึ้น มีหลายส่วนที่เข้ามา มีการจับคู่ธุรกิจ ก็เป็นเรื่องดีในระยะยาว ต้องส่งเสริมการลงทุนในประเทศให้มากขึ้นเพื่อชดเชยการส่งออกที่หายไป ส่วนระยะสั้น เรามองเอสเอ็มอี เป็นโอกาสที่จะเติบโตและเป็นฟันเฟืองที่ต้องช่วยกันให้แข็งแรงเพราะเป็นฐานรายได้ ถ้าดูฐานรายได้ของเรา ส่วนล่างคือ พวกทำงานบริษัท ส่วนที่สอง คือ เอสเอ็มอี ส่วนที่สาม คือบริษัทใหญ่ ๆถ้าทำฐานให้มั่นคงก็จะส่งผลต่อบริษัทใหญ่ในการรับซื้อต่างๆ ทุกส่วนก็จะแข็งแรง ภาครัฐเองก็พยายามบูรณาการร่วมกับภาคแบงก์ในการให้สินเชื่อเอสเอ็มอี อยากให้เอสเอ็มอีได้ขยาย โดยเฉพาะเรื่องของการลดต้นทุนการผลิต การลงทุน โดยในส่วนของสินเชื่อมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่ก็ยังต้องการการสนับสนุนอีกมาก การช่วยให้เอสเอ็มอีมีตลาดที่จะออกไปขายในกลุ่มอาเซียน เป็นต้น
ในเรื่องการใช้จ่ายของประชาชนเอง ถ้าเทียบปี 55 โตมาก อาจเห็นการโตลดลง แต่การเติบโตก็ยังปกติอยู่ ภาครัฐเองก็มีการเปิดเวทีให้มีการจับจ่ายใช้สอย เปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนมีโอกาสได้จับจ่ายใช้สอย คนซื้อได้ซื้อของถูก คนขายก็ได้ขยายตลาด ขายสินค้า ก็จะเร่งในเรื่องนี้ในครึ่งปีหลังให้มากขึ้น
|
บันทึกโดย : Adminวันที่ :
07 ก.ย. 2556 เวลา : 12:30:51
|
|
|
|
|
ข่าวเด่น