|
|
|
|
|
|
กระทรวงพลังงาน จ่อปรับขึ้นราคาแอลพีจีครัวเรือนรอบ 2 เดือนต.ค.2556 ยันปรับขึ้นได้ทันทีตามมติ กบง.ดันราคาพุ่งขึ้นอีก 50 สต./กก. เป็น 19.13 บาท/กก. เชื่อ 3 เดือนคนจนแห่ใช้สิทธิ์ซื้อแอลพีจีราคาถูกเพิ่ม
หลังพบยังใช้สิทธิ์น้อย ด้านราคาแอลพีจีอุตสาหกรรมจ่อลดต่ำกว่า 30 บาท/กก. ตามราคาตลาดโลก “สุเทพ” เผย ราคาน้ำมันโลกลด กบง.เรียกเก็บเงินผู้ค้าดีเซลเข้ากองทุนฯ 60 สต./ลิตร คาดน้ำมันเบนซินโซฮอล์จ่อลดลง 30-40 สต./ลิตร ในอีก 1-2 วัน
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานจะปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี)ภาคครัวเรือนอีก 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม เป็นรอบที่ 2 ในวันที่ 1 ต.ค. 2556 โดยจะมีผลให้ราคาแอลพีจีครัวเรือนขึ้นเป็น 19.13 บาทต่อกิโลกรัม หรือเท่ากับปรับขึ้นรวม 1 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ เป็นการปรับขึ้นโดยอัตโนมัติตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.)ที่อนุมัติปรับขึ้นได้เดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม
สำหรับในส่วนของการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้องให้รับสิทธิ์ซื้อแอลพีจีราคาเดิม 18.13 บาทต่อกิโลกรัมนั้น ปัจจุบันพบว่ามีผู้สมัครใช้สิทธิ์น้อยเพียง 6 หมื่นคน จากผู้มีสิทธิ์ทั้งสิ้น 7.6 ล้านคน โดยเริ่มใช้สิทธิ์จริงไปแล้ว 2.5 หมื่นคน สาเหตุที่มีผู้ใช้สิทธิ์น้อยเนื่องจากราคายังปรับขึ้นไม่มากนัก แต่เชื่อว่าหากขึ้นราคาเป็นเดือนที่ 3 หรือเท่ากับปรับขึ้น 1.50 บาทต่อกิโลกรัม จะทำให้ผู้มีรายได้น้อยสมัครเข้ามาใช้สิทธิ์กันมากขึ้น เนื่องจากหากเปรียบเทียบเป็นราคาแอลพีจีขนาดถัง 15 กิโลกรัม จะเท่ากับปรับขึ้นเดือนละ 7.50 บาทต่อถัง หากปรับขึ้น 3 เดือนจะเท่ากับปรับขึ้น 22.50 บาทต่อถัง
นอกจากนี้ ในส่วนของราคาแอลพีจีในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก คาดการณ์ว่าราคาแอลพีจีตลาดโลกจะอยู่ที่ 800 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ลดลงจากเดือนก.ย.2556 ที่อยู่ระดับ 860 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ซึ่งจะส่งผลให้ราคาแอลพีจีของภาคอุตสาหกรรมในเดือน ต.ค. 2556 ปรับลดลงตามไปด้วย ภายใต้เงื่อนไขอัตราค่าเงินบาทยังอยู่ในระดับปัจจุบันนี้ โดยจะทำให้ราคาแอลพีจีอุตสาหกรรมปรับลดต่ำกว่า30 บาทต่อกิโลกรัม จากเดือนก.ย.2556 นี้ ราคายังอยู่ระดับเพดานสูงสุดที่ 30.13 บาทต่อกิโลกรัม
นอกจากนี้ นายสุเทพ กล่าวภายหลังการประชุม กบง. ว่า ที่ประชุม กบง.มีมติเรียกเก็บเงินผู้ค้าน้ำมันดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มอีก 60 สตางค์ต่อลิตร จากเดิมจัดเก็บอยู่ 80 สตางค์ต่อลิตร ทำให้การจัดเก็บโดยรวมอยู่ที่ 1.40 บาทต่อลิตร มีผลให้กองทุนฯมีรายรับเพิ่มขึ้นเป็น 12.5 ล้านบาทต่อวัน จากเดิมเงินไหลออก 18.9 ล้านบาทต่อวัน
ส่วนสถานกองทุนฯโดยรวมยังคงเป็นบวกอยู่ 5,470 ล้านบาท ซึ่งการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯดังกล่าวไม่มีผลให้ราคาน้ำมันดีเซลหน้าปั๊มเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด โดยยังคงจำหน่ายอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตรต่อไป
อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ทำให้ต้องเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯเพิ่มดังกล่าว เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลง 2-3 เหรียญสหรัฐฯต่อสัปดาห์ โดยล่าสุดสัปดาห์นี้ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับลดลง 1.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 106.94 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ทำให้ผู้ค้าน้ำมันได้กำไรจากค่าการตลาดเพิ่มขึ้นเกินกว่าอัตราที่เหมาะสม 1.50 บาทต่อลิตร
ดังนั้นจึงต้องเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าดีเซลเข้ากองทุนฯ แต่ในส่วนของผู้ค้าน้ำมันกลุ่มเบนซินและโซฮอล์อาจต้องปรับลดราคาหน้าปั๊มลงใน 1-2 วันนี้ ประมาณ 30-40 สตางค์ต่อลิตร ทั้งนี้ต้องรอดูราคาน้ำมันที่ตลาดสิงคโปร์ช่วงเย็นของวันที่ 24 ก.ย. 2556 ก่อน
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับลดลงต่อเนื่อง เพราะเริ่มมีการผ่อนปรนในการกำจัดอาวุธเคมีในประเทศซีเรีย อีกทั้งจะมีการประชุมสมัชชาใหญ่เพื่อจัดทำร่างข้อตกลงจำกัดอาวุธเคมีของซีเรียในสัปดาห์หน้า ซึ่งกลายเป็นผลดีต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก นอกจากนี้โรงกลั่นประเทศลิเบียได้กลับมาดำเนินการผลิตได้ตามปกติอีก 6 แสนบาร์เรลต่อวันหลังจากปิดซ่อมบำรุงในช่วงที่ผ่านมา
|
บันทึกโดย : Adminวันที่ :
24 ก.ย. 2556 เวลา : 17:42:35
|
|
|
|
|
ข่าวเด่น