นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Korn Chatikavanij ถึงกรณีครม.มีมติโยกย้าย นายอารีพงศ์ ภู่ชะอุ่ม จากตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังไปเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.)  ระบุว่า

นักการเมือง vs. ข้าราชการ

การปลดข้าราชการชั้นผู้ใหญ่โดยนักการเมืองนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่การปลดระดับ 'ปลัดคลัง' นั้น ในอดีตถือเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่วันนี้กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่สังคมไม่แม้แต่ตั้งคำถามกับทางการเมืองว่า ที่ถอดถอนข้าราชการสายเศรษฐกิจที่อาวุโสมากที่สุดนั้นกระทำด้วยเหตุผลใด

โดยเฉพาะในกรณีปลัดกระทรวงคลังคือคุณอารีพงศ์นั้น เป็นการปลดกลางอากาศจริงๆ เพราะไม่ได้มีการแต่งตั้งใครขึ้นมาแทน แต่ให้มีการ 'รักษาการ' ในตำแหน่งสำคัญนี้

ภาคธุรกิจเองไม่มีเสียงท้วงติงแต่อย่างใด ทั้งๆที่เรื่องนี้กระทบกับเขาโดยตรง

ถามว่าปลัดอารีพงศ์ขัดขืนการนำนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลสู่การปฏิบัติหรือไม่ ผมเองมองว่าท่านปลัดอาจไม่ได้ทักท้วงตักเตือนเพียงพอด้วยซํ้าไปว่าหลายๆนโยบายจะมีความเสี่ยงอย่างใด กระทรวงคลังมีส่วนโดยตรงกับมากนโยบายเช่น รถคันแรกที่มีการอนุมัติเกินเป้าหมายเดิมไปเกือบสามเท่า การออกพรก. กู้เงิน 350,000 ล้านทั้งๆที่ยังไม่พร้อมใช้เงิน จำนำข้าวที่มีการกู้เงินเกินกรอบตามมติของรัฐบาลเอง การลดภาษีนิติบุคคล การเพิ่มภาษีเหล้า และการดันกฎหมายกู้เงินสองล้านล้านบาทที่เสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ

เอาว่าผมพบกับท่านปลัดที่สภาฯเมื่อใด มีเรื่องให้ผมคอยตำหนิติเตือนท่านปลัดในเรื่องเกี่ยวกับงานของกระทรวงคลังทุกครั้ง

โดยรวมผมเห็นว่ากระทรวงการคลังก็ทำตามหน้าที่ในการปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลในทุกๆเรื่อง แม้แต่เรื่ิองที่เสี่ยงต่อการขัดกฎหมายอย่างเช่นการลงนามสัญญากู้เงินตามพรก. นํ้า 350,000ล้าน หลังจากที่ศาลปกครองมีคำสั่งให้รัฐบาลดำเนินการใหม่ ทางกระทรวงคลังก็ทำตามความต้องการของฝ่ายการเมืองแต่โดยดี

ดังนั้นผมเห็นว่าฝ่ายการเมืองไม่สามารถกล่าวหาท่านปลัดได้ว่าไม่สนองนโยบาย

ในเชิงลึกผมเข้าใจว่าท่านปลัดได้มีการทักท้วงภายในมาโดยตลอด แถมยังปล่อยให้ลูกน้องที่มีจิตสำนึกต่อหน้าที่ มีพื้นที่ในการทำงานตามหน้าที่ข้าราชการที่ดีได้อย่างเต็มที่ ท่านปลัดเองเป็นคนซื่อสัตย์ โตมาในสายวิชาการเป็นหลัก ไม่มีท่าทีการเอื้อประโยชน์ฝ่ายการเมืองแต่อย่างใด

การปลดท่านปลัดครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งสัญญานโดยรัฐบาลนี้ ว่าการทำหน้าที่อย่างเป็นกลางนั้นไม่เพียงพอ จะต้องแสดงความเป็นพวกด้วยถึงจะอยู่รอด สังเกตว่าระยะหลัง ทุกครั้งที่มีการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง จะมีแต่การวิพากษ์ว่าเป็นพวกใครสายใคร ไม่มีการพูดถึงการทำงานว่าเหมาะสมแต่อย่างใด

ผมได้พูดไว้หลายครั้งแล้วว่าบทบาทหน้าที่ของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในการยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลักจะลดลงและจะมีการหันมาดูแลประโยชน์ของฝ่ายการเมืองมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่ผมเห็นว่าควรมีการทบทวนคือกระบวนการการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงโดยฝ่ายการเมือง คงไม่ต้องถึงกับทำไม่ได้ แต่ควรต้องมีภูมิคุ้มกันให้ข้าราชการมากกว่านี้ อย่างน้อยที่สุดต้องมีการให้ชี้แจงเหตุผลว่ามีการปลดในกรณีอย่างนี้เพราะอะไร

ยิ่งภาคเอกชนและสื่อเองปล่อยเรื่องอย่างนี้ผ่านไปโดยไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์แล้ว ผู้มีอำนาจทางการเมืองยิ่งได้ใจ