วันนี้ (24 ต.ค.) ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ... ที่มี นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นประธาน

ก่อนเข้าสู่วาระการชี้แจงของ ส.ส.ที่เสนอคำแปรญัตติ บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด เมื่อส.ส.ฝ่ายค้านได้สอบถามนายสามารถ ถึงสาเหตุการเลื่อนการประชุมขึ้นมาเป็นวันที่ 24-25 ต.ค. ทั้งที่เดิมได้กำหนดไว้เป็น วันที่ 30-31 ต.ค. พร้อมขอให้ขยายเวลาออกไปอีกให้ผู้ที่ติดภารกิจมาชี้แจงได้ในสัปดาห์หน้า  ซึ่งนายสามารถชี้แจง ว่า อำนาจเรียกประชุมดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่ทำได้ตามอำนาจประธานในที่ประชุม ส่วนบุคคลที่เสนอคำแปรญัตติไว้ แต่ไม่สามารถมาได้หลังจากที่มีการส่งหนังสือนัดหมายแล้วคงไม่สามารถขยายเวลาได้

เมื่อเข้าสู่ระเบียบวาระ เปิดโอกาสให้ ส.ส.ที่เสนอคำแปรญัตติแก้ไขถ้อยคำในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯเข้าชี้แจงต่อคณะ กมธ. โดย นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวเสนอคำแปรญัตติ  ขอให้คณะ กมธ.กลับไปใช้ร่าง พ.ร.บ.ตามต้นฉบับเดิมของนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ที่ได้เสนอไว้ต่อสภาในวาระที่ 1 เพื่อไม่ให้มีการนิรโทษกรรมผู้สั่งการในการสลายการชุมนุมและแกนนำผู้จัดการชุมนุม เพียงขอปรับกรอบเวลา คือขอให้เริ่มนิรโทษกรรมตั้งแต่ 1 มกราคม 2548 จนถึงวันที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ภายหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้การนิรโทษกรรมมีความครอบคลุมและคุ้มครองประชาชนมากขึ้น เนื่องจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ได้จัดการชุมนุมขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณระหว่างปี 2548-2549

 ทั้งนี้ กมธ.ในซีกพรรคประชาธิปัตย์ หลายคน  นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค นายแก้วสรร อติโพธิ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้สอบถาม ว่าคำแปรญัตติของ นพ.เหวงจะมีผลให้เกิดการนิรโทษกรรมฯ ให้กับชายชุดดำหรือผู้ก่อความไม่สงบในระหว่างการชุมนุมหรือไม่ เพราะในคำแปรญัตติดังกล่าวกำหนดเพียงแค่ว่าไม่ให้นิรโทษกรรม เฉพาะแกนนำผู้จัดการชุมนุมและผู้สั่งสลายการชุมนุมเท่านั้น ซึ่ง  นพ.เหวง กล่าวยืนยันตามเจตนารมณ์เดิม คือ ต้องการนิรโทษกรรม ให้เฉพาะประชาชนเท่านั้น ส่วนเรื่องชายชุดดำเป็นเพียงข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตามปรากฏว่าที่ประชุมเสียงข้างมาก 17 เสียงได้ลงมติไม่เห็นด้วยกับคำแปรญัตติของ นพ.เหวง  เช่นเดียวกับคำแปรญัตติของนายธานี เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหาสรุปว่า "การกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.2549 ถึงวันที่ 10 พ.ค.2554 ไม่เป็นความผิด เว้นแต่เป็นความผิดต่อการวางเพลิงเผาทรัพย์สินราชการหรือเอกชน ความผิดต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ความผิดต่อการทุจริตต่อหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง"
         
ต่อมานายอภิสิทธิ์ ได้ตั้งข้อสังเกต ว่า ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับนี้จะมีผลให้เกิดการตัดสิทธิในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งหรือไม่ เนื่องจากในมาตรา 3 และ มาตรา 4 มีเนื้อหาในทำนอง ว่าให้นิรโทษกรรมผู้กระทำความผิด และไม่ต้องรับความผิดโดยสิ้นเชิง ซึ่งการมีคำว่า "โดยสิ้นเชิง" อาจทำให้การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ไม่สามารถดำเนินการได้ภายหลังกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้มีผลบังคับใช้  

นายสามารถ อธิบายว่า กฎหมายฉบับนี้แม้จะนิรโทษกรรม ความผิดในคดีอาญาแล้วแต่ยังไม่ตัดสิทธิในการฟ้องคดีทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย อย่างไรก็ตาม การฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้นกฎหมายกำหนดให้เฉพาะเอกชนเท่านั้นที่สามารถฟ้องร้องได้ ขณะที่หน่วยงานรัฐจะไม่สามารถฟ้องคดีแพ่งได้

ด้าน นพ.เหวงกล่าวยืนยันตามเจตนารมณ์เดิมว่า ต้องการนิรโทษกรรมให้เฉพาะประชาชนเท่านั้น ส่วนเรื่องชายชุดดำเป็นเพียงข้อกล่าวหาเท่านั้น ที่สุดนายสามารถได้ขอให้ที่ประชุมลงมติว่าจะเห็นด้วยกับคำแปรญัตติของ นพ.เหวงหรือไม่ ปรากฏว่ามติเสียงข้างมาก 17 เสียงไม่เห็นด้วยกับร่างแก้ไขของ นพ.เหวง
    
ที่สุด ที่ประชุมฯ ยังคงยืนยันตามมติของกรรมาธิการเสียงข้างมาก ก่อนจะให้ ส.ส.ที่เห็นต่างสงวนการแปรญัตติ ในการพิจารณาวาระที่ 2 ที่จะมีขึ้นต้นเดือนพฤศจิกายนนี้